จับกระแสพลังงาน : 25 พฤศจิกายน 2568

จับกระแสพลังงาน : 25 พฤศจิกายน 2568

วันอังคาร ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

 

** บมจ.ไทยออยล์...คาดการณ์แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบรอบสัปดาห์นี้ (24 – 28 พ.ย. 68)...โดยระบุว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำเนื่องจากสหรัฐฯ ผลักดันกรอบเจรจาสันติภาพในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำมันรัสเซียกลับสู่ตลาดและเพิ่มแรงกดดันด้านอุปทานจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง หลังรัสเซียโจมตีโครงสร้างพลังงานของยูเครน และมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อ Rosneft และ Lukoil ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 พ.ย.


ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาท่าทีการกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมวันที่ 9-10 ธ.ค. นี้ หลังจากนักลงทุนให้น้ำหนัก 48.6% สำหรับการคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25%  ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่ออุปสงค์น้ำมัน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญแรงกดดันจากผลกระทบการปิดหน่วยงานรัฐ 42 วัน ส่วนทางด้านจีนยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) แม้ตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอ สะท้อนท่าทีระมัดระวังต่อการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพิ่มเติม…ไทยออยล์...คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล…

** บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย...ว่า “ปตท.” ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท เอไอออเนกซ์ จำกัด (“Aionex”) ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2568 มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างการถือหุ้น Aionex ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อรุณ พลัส จำกัด (“Arun Plus”) (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100) ร่วมกับบริษัท KWANG YANG MOTOR CO., LTD. (“KYMCO”) และ บริษัท KYMCO CAPITAL FUND I CO., LTD. (“KC”) (บริษัทย่อยของ KYMCO) ซึ่ง Arun Plus KYMCO และ KC มีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 51, 29 และ 20 ตามลำดับ…โดยจะดำเนินการจำหน่ายหุ้นบางส่วนให้ KC และลดทุนจดทะเบียน ซึ่งภายหลังการปรับโครงสร้างแล้วเสร็จจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นเปลี่ยนเป็นร้อยละ 25.7 19.3 และ 55 ตามลำดับ และมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว คงเหลือจำนวนประมาณ 450 ล้านบาท...ทั้งนี้ การปรับโครงสร้าง การถือหุ้นใน Aionex เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของ ปตท. ที่มุ่งเน้นเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งทบทวนกลยุทธ์ในธุรกิจ Non-Hydrocarbon เพื่อสร้างความแข็งแรงจากภายในและเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2569…

** บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ... เดินหน้าขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียนและเป็นประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก... ซึ่งประกาศนโยบายขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ชัดเจนและกำลังเป็นสมรภูมิแห่งโอกาสที่นักลงทุนต่างจับจ้อง...ทั้งนี้ EGCO Group เล็งเห็นศักยภาพของตลาดอินโดนีเซียตั้งแต่ 13 ปีก่อน โดยได้เข้าลงทุนในอินโดนีเซียในปี ค.ศ. 2012 ผ่านธุรกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่ธุรกิจเชื้อเพลิง สาธารณูปโภค และธุรกิจไฟฟ้า อาทิ เหมืองถ่านหิน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ (ปัจจุบันได้ขายหุ้นไปแล้ว) จนถึงล่าสุดคือ การลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคในปี ค.ศ. 2023 ผ่านการถือหุ้น “บริษัท พีที จันทรา ดายา อินเวสตาสิ” (PT Chandra Daya Investasi) หรือ CDI Group ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท พีที จันทรา อศรี แปซิฟิก ทีบีเค จำกัด (PT Chandra Asri Pacific Tbk หรือ Chandra Asri Group) บริษัทชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านพลังงาน เคมีภัณฑ์ และโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร ....รัฐบาลอินโดนีเซียยังได้ประกาศแผนการจัดหากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ RUPTL (The National Electricity Supply Plan) ฉบับล่าสุด ปี ค.ศ. 2025-2034 โดยตั้งเป้ากำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ถึง 40.6 กิกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าครึ่งจะมาจากพลังงานหมุนเวียน โดยแผนนี้จะพลิกโฉมสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจากประมาณ 12% ในปัจจุบัน เป็น 35% ภายในปี ค.ศ. 2034 โดยเน้นการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์ 17 กิกะวัตต์ (พร้อมระบบแบตเตอรี่) พลังน้ำ 16 กิกะวัตต์ พลังงานความร้อนใต้พิภพ 5 กิกะวัตต์ และบางส่วนจากพลังงานลมและพลังงานชีวภาพ…

** บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP จึงมีแผนควบรวมบริษัทกับบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และจัดตั้ง “บริษัทใหม่” หรือ ‘NewCo’ และจำหน่ายสิทธิการลงทุน (Membership Interests)  25 % ในกิจการร่วมค้า BKV-BPP Power LLC (BKV-BPP) เพื่อยกระดับบทบาทจากผู้ผลิตไฟฟ้าระดับภูมิภาค สู่ผู้นำด้าน ‘Utility-scale Power and Integrated Businesses’ ภายใต้ ‘Power+ (ไฟฟ้าและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง)’ และเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจหลักของกลุ่มบ้านปู...นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BPP กล่าวว่า “การควบรวมครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของ BPP สู่ ‘Power+’ กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าเต็มรูปแบบที่รวมสินทรัพย์โรงไฟฟ้าพลังงานพื้นฐาน (Base Load Power Plant) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและสหรัฐฯ ครอบคลุมโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน (Thermal Power Plant) และธุรกิจบางส่วนของ Banpu NEXT ได้แก่ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewables) ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) และการซื้อขายไฟฟ้า (Energy Trading) เพื่อดำเนินธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่าพลังงานอย่างครบวงจร การปรับพอร์ตครั้งนี้จะเพิ่มความคล่องตัวทางการเงินและประสิทธิภาพการบริหารเงินทุน (Capital Efficiency) ลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และเปิดโอกาสการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ในอนาคต”…

** บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้ายังเป็นแกนหลักในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ โดยรายได้จำนวน 18,804 ล้านบาทของรายได้รวม คิดเป็น 79 % มาจากกลุ่มโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 7,830.60 เมกะวัตต์ รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และชีวมวล กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,618.21 เมกะวัตต์ จำนวน 3,874 ล้านบาท  หรือ 16 % ของรายได้รวม และรายได้จากธุรกิจเกี่ยวเนื่องและอื่นๆ เป็นจำนวน 1,247 ล้านบาท คิดเป็น 5 %  ของรายได้รวม...** GPSC ประกาศความคืบหน้าครั้งสำคัญในความร่วมมือกับ GCL องค์กรชั้นนำด้านเทคโนโลยีสีเขียวคาร์บอนต่ำและผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Center และพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ได้ลงนาม Joint Venture Agreement (JVA) เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เดินหน้าพัฒนาธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ตามยุทธศาสตร์ Data Power x Smart Power อย่างเต็มรูปแบบ…**

** กระบองเพชร**

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top