นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนมิถุนายน ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 92.53 ลดลง 5.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 59.12% ด้านMPI ไตรมาส 2 ปี 2556 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 90.14 ลดลง 5.59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ยังอ่อนแอ รวมถึงรายได้เกษตรกรในเดือนมิถุนายน 2566 ลดลง 5.99% หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองติดต่อกันสะท้อนกำลังซื้อจากภาคเกษตรที่ยังคงเปราะบาง อย่างไรก็ดี การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว ยังคงทำให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม อาทิ น้ำตาล ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ เครื่องปรุงรสเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สุรา กาแฟ

ดัชนี MPI 6 เดือนแรก ปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 95.73 ลดลง 4.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราการใช้กำลังการผลิต 6 เดือนแรกปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 60.72% อุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัวในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.23% จากการผลิตรถยนต์นั่งเป็นหลัก รวมทั้งตลาดส่งออกยังคงขยายตัวต่อเนื่อง น้ำตาล ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.76% เนื่องจากปีนี้มีปริมาณอ้อยเข้าหีบมากกว่าปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.88% เป็นผลจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวงเต็มรูปแบบ น้ำมันปาล์ม ขยายตัวเพิ่มขึ้น 18.61% เนื่องจากความต้องการใช้ที่มากขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และจักรยานยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.96% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

นางวรวรรณกล่าวว่า ประเด็นที่น่าติดตามในช่วงนี้ คือ อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ที่สำคัญของโลก การส่งออกรถจักรยานยนต์ของไทย เป็นอันดับ 4 ของโลก มีมูลค่าการส่งออก 2,974 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดส่งออกหลัก 5 อันดับแรก คือ เบลเยียม จีน สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต ได้แก่ ตลาดในประเทศมีขนาดใหญ่ มีกําลังซื้อต่อเนื่อง นโยบายการส่งเสริมการลงทุน โดยให้การส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการรถจักรยานยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบมากกว่า 248 ซีซี. ของบริษัทรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ของต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย

นอกจากนี้ ประเทศไทยมี Supply Chain ตลอดห่วงโซ่ และแรงงานในประเทศที่มีทักษะฝีมือในด้านการผลิต และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ ในปี2566 ว่าจะมีการผลิตรถจักรยานยนต์ 2,100,000 คัน แบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 1,750,000 คัน และผลิตเพื่อการส่งออก 350,000 คัน

นางวรวรรณ กล่าวว่า อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตในเดือนมิถุนายน 2566 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตฯยานยนต์ ขยายตัว 3.37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรถยนต์นั่งขนาดกลางและรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เป็นหลัก ตามการขยายตัวของตลาดส่งออกสำคัญ อุตฯพลาสติกและยางสังเคราะห์ขั้นต้น ขยายตัว 5.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังมีการเร่งผลิตเพื่อชดเชยจากการหยุดซ่อมบำรุงในช่วงเดือนก่อนหน้า รวมถึงการหยุดผลิตเพื่อปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักรของผู้ผลิตบางรายในปีก่อน

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมที่ขยายตัว 1.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันเครื่องบิน เป็นหลัก เนื่องจากความต้องการใช้หลังการท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงจากปีก่อนกระตุ้นให้เกิดการบริโภคมากขึ้น รวมทั้งน้ำตาล ขยาย 8.35% ตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายขาวและกากน้ำตาล เป็นหลัก เนื่องจากการปิดหีบเร็วกว่าปีก่อนทำให้สามารถละลายน้ำตาลทรายดิบเป็นน้ำตาลทรายชนิดต่างๆ เพื่อส่งมอบได้มากกว่าปีก่อน