ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงิน ประจำไตรมาส 3/2566 โดยระบุว่า ระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ แต่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน (Financial stability risk) ที่ควรติดตามในระยะต่อไป ได้แก่ 1. ความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงของครัวเรือนและธุรกิจ
บางกลุ่มที่ยังเปราะบาง ทั้งนี้ สง.บริหารจัดการได้และจะไม่นำไปสู่หนี้เสียที่เพิ่มสูงแบบก้าวกระโดด (NPL cliff) 2. ภาคธุรกิจระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ด้วยต้นทุนที่สูงขึ้นและอาจระดมทุนได้ยากขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจุบันตลาดการเงินยังมีเสถียรภาพ การออกตราสารหนี้ใหม่โดยรวมยังคงทำได้ตามปกติ และ 3. ความสามารถในการทำกำไรและสภาพคล่องของ Non-bank บางรายลดลงจากต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี Non-bank ส่วนใหญ่ยังมี retained earnings เพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงได้
สำหรับภาคครัวเรือนความสามารถในการชำระหนี้ลดลงในครัวเรือนเปราะบางที่รายได้น้อยหรือฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกหนี้ SFIs และ NBs อย่างไรก็ดี คาดว่าเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในระยะข้างหน้าจะช่วยให้ความสามารถในการชำระหนี้ไม่ลดลงรุนแรงหรือขยายเป็นวงกว้าง ส่วนภาคธุรกิจนั้น ธุรกิจขนาดใหญ่ มีความสามารถในการชำระหนี้ลดลงเล็กน้อย ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรโดยรวมทรงตัว โดยภาคการผลิตปรับดีขึ้นเล็กน้อยใน sector ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลดลงและอุปสงค์ในประเทศที่ปรับดีขึ้น อาทิ เคมีภัณฑ์ สวนทางกับกำไรในภาคการผลิตอื่นๆ ขณะที่ ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจาก low season
ส่วน กลุ่ม SMEs มีฐานะการเงินยังเปราะบางและสินเชื่อ SMEs หดตัวจากการทยอยชำระคืนหนี้ หลังเร่งขยายตัวต่อเนื่องเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงโควิด โดยเฉพาะ sector ที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการผลิต ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า โดย ธนาคารพาณิชย์ (ธพณ.) ยังให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ในส่วนเพื่อการอยู่อาศัย ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวต่อเนื่อง ผู้ประกอบการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นตามความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่ทยอยฟื้นตัว แต่ยังคงมีแรงกดดันจากต้นทุนการกู้ยืมและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และภาคเพื่อการพาณิชย์ อัตราการเช่าของพื้นที่ค้าปลีกและพื้นที่สำนักงานทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่ต้องติดตามอุปทานพื้นที่สำนักงานที่อาจส่งผลให้อัตราการเช่าโน้มลดลงในระยะต่อไป อย่างไรก็ดีคาดว่าความเสี่ยงต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์มีจำกัด เนื่องจากโครงการเปิดใหม่มีอุปสงค์รองรับค่อนข้างดี
นอกจากนี้ภาคธนาคารพาณิชย์และ Non-bank นั้นระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีระดับ เงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องยังเข้มแข็งผลประกอบการปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจาก MTM loss ของตราสารทางการเงินบ้าง ในช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่NPL ทรงตัวจากการบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการทำกำไรของ non-bank ลดลงจากคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงและการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและหนี้สูญเพิ่มขึ้น แม้ว่า NBs ส่วนใหญ่จะยังมี buffer ที่สามารถรองรับความเสี่ยงได้ แต่ต้องติดตามความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ของ NBs บางรายอย่างใกล้ชิด
ส่วนภาคสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยรวมยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอรองรับการดำเนินกิจการ อย่างไรก็ดี ต้องติดตาม สอ. บางแห่งที่อาจสะสมความเสี่ยงจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบรุนแรงหากตลาดการเงินมีความผันผวนสูง และภาคตลาดการเงินมีต้นทุนการระดมทุนเพิ่มขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ระดมทุนบางรายที่สูงขึ้นหลังการผิดนัดชำระหนี้และการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มสูงขึ้น ส่วนความสามารถในการระดมทุนและ roll over risk นักลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนมีความ selective มากขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้กลุ่ม rating BBB และตราสารหนี้ high yield โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ Non-bank ที่อาจเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และ sentiment ของนักลงทุนที่แย่ลงซึ่งทำให้ระดมทุนได้ยากขึ้น
ขณะที่ภาคต่างประเทศ เสถียรภาพด้านต่างประเทศยังเข้มแข็ง สะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลจากการส่งกลับกำไรและดุลการท่องเที่ยวตามปัจจัยฤดูกาล ส่วนดุลการค้าเกินดุลลดลง และ ภาค Digital assetมีความเสี่ยงของ Digital asset ต่อระบบการเงินไทยมีแนวโน้มลดลง จากความสนใจของผู้ลงทุนและธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำที่สะท้อนผ่านระดับราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง
วันเดียวกันนี้ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะประธานกมธ. พิจารณานโยบายดิจิทัล วอลเล็ตของรัฐบาล โดยมี น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน พร้อมด้วยตัวแทนจากกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้แจงให้ข้อมูล
ทั้งนี้ ในช่วงต้นของการพิจารณา น.ส.ดารณี กล่าวย้ำว่า โครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต จะใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท โดยผู้ที่มีสิทธิ์จะต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินจำนวน 1 หมื่นบาท ซึ่งรัฐบาลต้องการกระตุ้นอุปโภค-บริโภคของประชาชน แต่มุมมองของธปท. เห็นว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกที่เกี่ยวกับการบริโภคภาคเอกชน มองว่าความจำเป็นต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรวมผ่านโครงการนี้ยังมีไม่มากเนื่องจากภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้สูง และตลาดแรงงานก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง ดังนั้น ผลของโครงการต่อเศรษฐกิจ อาจจะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี