ฉับพลันที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่28 พฤศจิกายน มีมติให้ย้าย “พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม จนทำเอาผู้คนในสังคมวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางกับเบื้องหลังคำสั่งเด้งฟ้าผ่า อธิบดีดีเอสไอในครั้งนี้ ...ทั้งที่ก่อนหน้าเพียงวันเดียว เจ้าตัวเพิ่งจะนำกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและหมายศาลเข้าตรวจค้น บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านค้าปลีก-ค้าส่งของประเทศ” เพื่อค้นหาเอกสารหลักฐานความเชื่อมโยง หลังจากมีการขยายผลการตรวจสอบขบวนการนำเข้าหมูเถื่อน...ที่หลายคนแปลกใจก็เพราะ ก่อนหน้าพ.ต.ต.สุริยา...เพิ่งถูก “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” เรียกไป “ขันนอต” กรณีที่ “ดีเอสไอ” รับสำนวนคดี“หมูเถื่อน” จากกรมศุลกากรเพื่อดำเนินการสอบขยายผลหาตัวการใหญ่ที่นำเข้าหมูเถื่อน...แต่ทำงานช้าไม่ทันใจนายกฯ เลยโดนเฉ่งออกสื่อ...แต่พอพ.ต.ต.สุริยา ลุยงานเต็มสปีทจนไปเจอ“ตอใหญ่”...เหตุใดจึงโดนเด้ง....!! เอาล่ะเรื่องค่อยตามกันต่อ....

เห็นการ “ขันนอต” บิ๊กดีเอสไอของนายกฯข้างต้นแล้ว ก็ให้นึกย้อนมาถึง ผู้บริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ไม่รู้ว่า รมช.คมนาคม ที่กำกับดูแลหน่วยงานนี้อดรนทนรับสภาพเป็น “รัฐมนตรีไม้ประดับ” หรือพระอิฐพระปูนอยู่ได้อย่างไร?... เพราะกระทรวงคมนาคมสั่งการไปอย่าง แต่บิ๊ก รฟม.กลับไปดำเนินการอีกอย่าง แถมผลงานอื้อฉาว ในอดีตในการโม่แป้งประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563 ผ่านมาวันนี้ เกือบ 4 ปีเข้าไปแล้ว ยังไม่ขยับไปไหน สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐโดยแท้

ผลงานชิ้นโบแดงที่สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานของผู้บริหารหน่วยงานนี้ที่ชัดเจนที่สุดก็คือกรณีการประมูลรถไฟฟ้า สายสีส้ม ที่บิ๊ก รฟม. “ตั้งแท่น” ให้กระทรวงคมนาคมกระเตงผลประกวดราคา ที่อ้างว่าบริษัท BEM เป็นผู้ชนะประมูลเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งที่ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอกว่าเป็น “เผือกร้อน-ของแสลง” ที่มีส่วนต่างราคามากกว่า 68,000 ล้านเมื่อเทียบกับข้อเสนอราคาที่กลุ่ม BSR-BTS เคยเสนอเอาไว้นาการประมูลในครั้งก่อนหน้า แต่ถูกรฟม.สั่งยกเลิกประกวดราคาไปดื้อๆ…

ขืนกระทรวงคมนาคมรับไม้ต่อก็มีหวังได้เรียกแขกให้งานเข้า เผลอๆ อาจนำพาครม.พาเหรดขึ้นเขียงกันระนาว!

เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ทำให้การประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม“ติดหล่ม” อยู่ตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความรับผิดชอบของบอร์ดและฝ่ายบริหาร รฟม. ชุดปัจจุบันนั่นแหละที่ไม่รู้มัวไปทำอะไรอยู่ จึงทำให้การดำเนินโครงการนี้ล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนแม่บทที่วางไว้ และทำให้งานโยธารถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี)ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายปีก่อน ต้อง“หาวรอ” ไม่รู้ชาตินี้จะได้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายนี้กันหรือเปล่า... ความเสียหายที่ประเทศได้รับจากความล่าช้าในการดำเนินโครงการนี้ที่สมควรจะต้องมีผู้รับผิดรับชอบนั้นไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ทั้งบอร์ด รฟม.และฝ่ายบริหาร รฟม.ยัง “มั่นหน้า” ยืนยันว่าตนเองทำถูกต้อง ไม่ได้ทำอะไรผิด...!!ถามนิดนะว่า...ความสูญเสียทางเศรษฐกิจนับหมื่นล้านที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องที่ รฟม. หรือบอร์ดจะต้องรับผิดรับชอบอย่างนั้นหรือ????

นอกจากเรื่องดังกล่าวรถฟ้าสายสีส้ม...ยังมีกรณีโครงการคอนโดหรู “แอชตัน อโศก”มูลค่ากว่า 6,000 ล้านที่ได้รับอนุญาตผ่านทางเข้า-ออกสถานีรถไฟฟ้ารฟม. ซึ่งเป็นเรื่องปกติของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายรอบสถานี ที่มีนับสิบ นับร้อยโครงการก็ล้วนใช้ที่ทางรอบสถานีรถไฟฟ้า หรือที่ดินหน่วยงานของรัฐเป็นทางผ่านเข้า-ออกด้วยกันทั้งนั้น แต่วันดีคืนดี โครงการดังกล่าวถูกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนโดยนายศรีสุวรรณ หยิบเอาไฟฟ้องคดีต่อศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง โดยพาดพิงมาถึงที่ดินของ รฟม.ที่ใช้เป็นทางเข้า-ออก ซึ่งศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาออกมาให้ กทม.เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง เนื่องจากเห็นว่าที่ดินที่ รฟม.อนุญาตให้เป็นทางผ่านเข้า-ออกเป็นการใช้ที่ดินขัดวัตถุประสงค์การเวนคืน ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์กิจการรถไฟฟ้า

ผลพวงจากคำพิพากษาทำเอาลูกบ้านโครงการแอชตัน อโศก กว่า 600รายได้รับความเดือดร้อน จนมีการยื่นเรื่องร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ เพราะลูกบ้านไม่เคยได้มีส่วนร่วมสู้คดีเลยมาก่อน ทั้งยังร้องขอให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการแก้ไขปัญหาทางผ่านเข้า-ออกที่ว่า เพราะรฟม.มีการอนุมัติผ่านทางเข้าออกในลักษณะเดียวกันนับสิบโครงการหากไม่แก้ไข อาจส่งผลกระทบโครงการอสังหาฯอื่นในอนาคต...เหตุนี้กระทรวงคมนาคมจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหานี้ โดยมี นายสรพงศ์ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน และมีผู้ว่าการ รฟม.เป็นรองประธาน แต่แทนที่คณะทำงานจะดำเนินการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาผู้บริหาร รฟม.กับมีหนังสือยกเลิกข้อตกลง และเพิกถอนใบอนุญาตผ่านทางเข้า-ออกโครงการแอชตันอโศกที่ว่านี้ ด้วยข้ออ้างทำตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ทั้งที่ศาลปกครองไม่ได้มีคำสั่งให้ รฟม.ดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตผ่านทาง ตรงกันข้ามศาลยังสำทับไปด้วยว่าใบอนุญาตผ่านทางที่รฟม.กระทำกับบริษัทนั้น เป็น “สัญญาต่างตอบแทน” ที่ไม่อยู่ในอำนาจที่ศาลจะพิจารณาคดีได้ด้วยซ้ำ

ล่าสุด ปลายเดือนพฤศจิกายน ฝ่ายบริหาร รฟม. ยังรุกคืบมีหนังสือแจ้งไปยังบริษัท อนันดา เจ้าของโครงการ สั่งให้บริษัทจ่ายเงินชดเชยความเสียหายจากการใช้ประโยชน์ในที่ดินของ รฟม. อีกกว่า 102 ล้านบาทไปด้วยอีก อันเป็นการเพิ่มและซ้ำเติมปัญหาให้ยุ่งขิงยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งยังเป็นการ “หักดิบ” สวนทิศทางนโยบายกระทรวงคมนาคมที่สั่งให้ รฟม. เร่งแก้ไขปัญหานี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ

หลายฝ่ายอดสงสัยไม่ได้ว่า คำสั่งของ รมช.คมนาคมที่กำกับดูแล รฟม.เป็นแค่ “กระดาษทิชชู่” อย่างไรจึงทำให้ฝ่ายบริหารและบอร์ด รฟม. “โนสนโนแคร์” จึงไม่ปฏิบัติตาม ถึงขั้นกล้า “หักดิบ” ดำเนินการสวนทิศสวนทางนโยบายกันดื้อๆ....อันนี้หนักกว่ายิ่งกว่ากรณีอธิบดีดีเอสไอเสียอีกนะ

ทั้งบอร์ดและฝ่ายบริหาร รฟม.คงลืมไปว่า “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” นั้นมาจากวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงย่อมรู้และเข้าใจการออกใบอนุญาตก่อสร้าง ใบอนุญาตผ่านทางเข้า-ออกโครงการอสังหาริมทรัพย์รอบสถานีรถไฟฟ้า หรือโครงข่ายคมนาคมต่างๆ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว...ส่วน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจรมว.คมนาคมและ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ที่กำกับดูแล รฟม.ยังคง “มะงุมมะงาหรา” ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ถูกข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐลูบคมอะไรไปบ้างแล้ว จึงยังคงเดินสายแค่เรียนรู้งาน รับรายงาน และตรวจตราแต่งาน “รูทีน” จนเหมือนจะลืมว่านโยบายของรัฐบาล และนายกฯเศรษฐา ที่กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานในสังกัดต้องเร่งรัดดำเนินการคืออะไร?

จนบัดนี้จะร่วม 3 เดือน รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ยังไม่สามารถตั้งบอร์ดใหม่ของรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคมได้สักแห่ง ถมยังมีข่าวสะพัดถึงบรรดาตัวเต็งประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจใหม่เหล่านี้ว่า ยังคงเป็นข้าราชการหน้าเดิม ในสังกัดเดิม ที่ถูกตั้งโดยรัฐบาลชุดก่อน และมี “สปอนเซอร์รายเดิม” ดูแลกันต่อไป จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่า แล้วจะให้บอร์ดรับนโยบาย หรือให้แก้ปัญหาที่หมักหมมต่อๆ กันมานี้อย่างไร....!! เห็นอาการ “ดื้อแพ่ง” ของบอร์ดและฝ่ายบริหาร รฟม. รวมถึง รัฐมนตรีคมนาคม...หวั่นๆ ว่าจะโดนเหมือน “บิ๊กดีเอสไอ”....!!!

กระบองเพชร