วันอังคาร ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
รายงานพิเศษ : สหรัฐฯขึ้นภาษี...ส่งออกไทยโดน2เด้ง ฉุดจีดีพีปี2568ต่ำกว่าประมาณการ

รายงานพิเศษ : สหรัฐฯขึ้นภาษี...ส่งออกไทยโดน2เด้ง ฉุดจีดีพีปี2568ต่ำกว่าประมาณการ

วันอังคาร ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : จีดีพี ทรัมป์ ภาษี รายงานพิเศษ สหรัฐ
  •  

** ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)…วิเคราะห์ถึงกรณีที่ ประธานาธิปดี โดนัล ทรัปมป์  ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ชุดใหญ่เมื่อ 2 เม.ย. ซึ่งอาจทำให้อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริง (Effective Tariff Rate) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 18 – 22%   โดยไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนี้สูงถึง 36% เป็นอันดับ 20 จาก 185 ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ทั่วโลก และเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย  ซึ่งไทยโดนขึ้นภาษีนำเข้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ ขึ้นกับทั่วโลก (16%) ค่าเฉลี่ยของประเทศเอเชีย (21%) เป็นผลจากการที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าไทยสูง

ในการขึ้นภาษีชุดใหญ่ของสหรัฐฯ รอบนี้ สหรัฐฯ เก็บภาษีประเทศในเอเชียสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก หากรวม Reciprocal Tariffs, Universal Tariffs และภาษีเฉพาะเจาะจง (Specific Tariffs) รายประเทศที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% ติดต่อกัน 2 ครั้ง รวมเป็น 20% ในช่วงต้นปีนี้ จะพบว่า สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าประเทศเอเชียเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากถึง 21% (ค่าเฉลี่ยโลก 16%) สาเหตุหลักเพราะประเทศเอเชียส่วนใหญ่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ มาก โดยเฉพาะประเทศอาเซียน ซึ่งเฉลี่ยแล้วโดนสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีมากถึง 33% (รูปที่ 1 ซ้าย) ประเทศเอเชียจึงได้รับผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ สูงกว่า สำหรับเม็กซิโกและแคนาดา แม้จัดว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงเพราะพึ่งพาสหรัฐฯ สูงและถูกสหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีเฉพาะเจาะจงเอาไว้สูงถึง 25% ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะสินค้าส่วนมากยังอยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA ซึ่งยังได้รับการยกเว้นภาษีนี้อยู่


สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีประเทศในทวีปเอเชียสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยหากพิจารณาทั้ง Reciprocal Tariffs และ Universal Tariffs ด้วยแล้ว พบว่าสหรัฐฯ ได้ตั้งกำแพงภาษีกับประเทศในเอเชียเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากถึง 21% เทียบกับค่าเฉลี่ยโลกที่ 16%

สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสำหรับไทยในเกณฑ์สูงอยู่ที่ 36% ติดอันดับ 20 จาก 185  เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลก และเป็นอันดับ 9 ของเอเชีย รองจากประเทศกลุ่ม CLMV ศรีลังกา อิรัก และ บังกลาเทศ  อีกทั้งเกณฑ์ภาษีที่สหรัฐฯ ใช้กับไทยยังมากกว่าค่าเฉลี่ยโลก ค่าเฉลี่ยเอเชีย และค่าเฉลี่ยอาเซียน  เนื่องจากสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับไทยสูง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ของไทย  ซึ่งสหรัฐฯ ประเมินว่าการขาดดุลการค้ากับไทยที่อยู่ในระดับสูงเช่นนี้เป็นผลจากหลายปัจจัย เช่น ไทยตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงเฉลี่ย 9.8% ขณะที่สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยเพียง 3.3% โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งไทยเก็บอัตราภาษีสหรัฐฯ เฉลี่ยสูงถึง 27% รวมถึงไทยยังใช้มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี โดยเฉพาะสินค้าเกษตร นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังคำนึงถึงการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มาตรการกีดกันการค้าในภาคบริการ สิทธิเสรีภาพของแรงงานอีกด้วย

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นสัดส่วน 18.3% ในปี  2567  เพิ่มขึ้นมากจาก 12.7% ในปี 2562 หากเทียบกับประเทศในโลกที่มี GDP ใหญ่สุด 30 อันดับแรกและกลุ่มประเทศอาเซียน พบว่า ไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ต่อ GDP ค่อนข้างสูงกว่าอยู่ที่ราว 10% ขณะที่ไทยเองก็โดน Reciprocal rate ในอัตราสูงกว่าด้วยเช่นกัน  ไทยจึงมีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงผ่าน 2 ช่องทาง คือ 1) Substitution Effect : สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ไทยสูงถึง 36% ขณะที่ประเทศต่าง ๆ โดนอัตราภาษีน้อยกว่ามาก (ส่วนมากถูกเก็บภาษีแค่ 10%) จึงอาจทำให้สหรัฐฯ หันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่แข่งที่ขายราคาถูกกว่าไทย  2) Income Effect : สหรัฐฯ อาจนำเข้าสินค้าจากไทยและคู่ค้าอื่น ๆ น้อยลง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็อาจชะลอลงมากจากนโยบายกำแพงภาษีของตัวเองครั้งนี้

หากดูผลกระทบรายหมวดสินค้าส่งออก พบว่ากว่า 8 ใน 10 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบมาก เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (8.2% ของมูลค่าการส่งออกไทยทั้งหมด) พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากถึง 42.9% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ทั้งหมด หรือผลิตภัณฑ์ยาง โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มากถึง 31.6% และ 58.5% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนั้นๆ ทั้งหมด  ตามลำดับ  

นอกจากไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงแล้ว ไทยยังส่งออกไปยังตลาดจีน อาเซียน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปในสัดส่วนที่สูงเช่นกัน ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ถูกตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงอยู่ที่ 54% 33% 24% 20% ตามลำดับ เทียบกับกำแพงภาษีที่สหรัฐ เก็บทั่วโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16% ดังนั้นการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทยกลุ่มนี้ จะส่งผลกระทบทางอ้อมต่อความต้องการสินค้าส่งออกไทยผ่านหลายช่องทาง คือ 1) ความต้องการสินค้าขั้นปลายของไทยลดลง เช่น เศรษฐกิจจีน (ตลาดส่งออกอันดับ 2 ของไทย) คาดว่าจะชะลอตัวลงจากมาตรการกีดกันการค้ารอบนี้ ย่อมส่งผลให้ความต้องการนำเข้าสินค้าไทยลดลงตาม โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ผักและผลไม้ อาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งจีนเป็นผู้นำเข้าหลัก (เช่น ทุเรียนไทยส่งออกไปจีนในปี 2567 มีสัดส่วนมากถึง 97.4% ของมูลค่าการส่งออกทุเรียนไทยทั้งหมด)

2) ความต้องการสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางของไทยในห่วงโซ่การผลิตลดลง เช่น ไม้ยางพารา ยางพารา ยางสังเคราะห์ เม็ดพลาสติก (โดยเฉพาะกลุ่ม Styrene และ Ethylene) และอะลูมิเนียมรีด (สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์หรือกระป๋องเครื่องดื่ม) ซึ่งพึ่งพาการส่งออกไปตลาดจีนสูง อาจถูกกระทบหากจีนส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยลง 3) การแข่งขันในตลาดส่งออกโลกสูงขึ้น บางประเทศอาจเผชิญปัญหาส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ได้น้อยลง แต่กำลังการผลิตในประเทศยังมีอยู่มาก ทำให้ต้องระบายสินค้าออกสู่ตลาดอื่นๆ มากขึ้น 4) บางประเทศคู่ค้าอาจหันไปนำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพื่อลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ  จึงอาจนำเข้าสินค้าไทยน้อยลง

ภาวะ Wait & See ของการลงทุนในไทยจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ ทั้งการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนจากจีนส่วนหนึ่งเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกสินค้าไปขายตลาดสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงการกีดกันสินค้าส่งออกจากจีนโดยตรง รวมถึงการลงทุนในประเทศที่อาจ Wait & See โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ที่อาจรอดูความชัดเจนของการเจรจาการค้าของรัฐบาลไทยเพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีครั้งนี้

SCB EIC ประเมินอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ไทยและประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ทั่วโลกต้องเผชิญจะมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ทำเนียบขาวประกาศในวันที่ 2 เมษายน 2025 โดยในประกาศของทำเนียบขาวระบุชัดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์อาจลดภาษีตอบโต้ให้ได้ หากประเทศนั้น ๆ สามารถแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นได้ เช่น พยายามลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ ลดอัตราภาษี Reciprocal Tariffs ได้บ้าง สำหรับประเทศนั้น ๆ ได้บ้าง อย่างไรก็ดี การเจรจาขอลด Universal Tariffs และ Specific Tariffs รายสินค้าจะดำเนินการได้ยากกว่า เพราะวัตถุประสงค์ของสหรัฐ ต้องการประกาศเป็นอัตราภาษีนำเข้าส่วนเพิ่มขั้นต่ำ และเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศบางประเภทโดยเฉพาะ

แม้อัตราภาษีที่แท้จริงที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจริงกับประเทศไทยอาจลดลงหลังการต่อรองลดผลกระทบไม่ให้รุนแรงมาก SCB EIC ประเมินว่า การประกาศสงครามการค้าของสหรัฐฯ ครั้งนี้จะเป็นความเสี่ยงด้านต่ำสำคัญของเศรษฐกิจไทย  จะส่งผลกดดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.4% อย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้นประเทศไทยจึงควรให้ความสำคัญเร่งเจรจาลดผลกระทบครั้งนี้ โดยอาจเน้นจาก 3 ประเด็นหลักของไทย ซึ่งสะท้อนได้จากรายงานอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศของ United States Trade Representative (USTR) เผยแพร่เดือน มีนาคม 2025 ได้แก่ 1) ลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐฯ มากขึ้น หรือ ลดอัตราภาษีนำเข้าบางสินค้าของสหรัฐฯ 2) ลดมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เช่น เกณฑ์ห้ามนำเข้าสินค้าบางชนิด เกณฑ์มาตรฐานสินค้าเกษตร 3) แก้ไขปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ และไทยเองก็ได้ประโยชน์ด้วย เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิเสรีภาพของแรงงาน ตลอดจนการพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี การเจรจาต้องคำนึงถึงประโยชน์โดยรวมของประเทศอย่างสมดุล โดยนอกเหนือจากประเด็นจาก USTR ที่ระบุไว้ ไทยควรคำนึงถึงกลไกเพื่อดูแลผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้ประกอบการในภาคส่วนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา ทั้งการเตรียมตัวรับมือต่อการไหลเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศ ผ่านการบังคับใช้กฎหมายด้านคุณภาพสินค้า แนวทางป้องกันการทุ่มตลาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม  รวมทั้งพิจารณาขยายความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาคเพื่อขยายตลาดและโอกาสการค้า การลงทุนและสร้างห่วงโซ่การผลิตใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง

ทั้งนี้ SCB EIC จะติดตามแผนการรับมือของรัฐบาลไทย ท่าทีของสหรัฐฯ และมาตรการตอบสนองของประเทศต่าง ๆ หลังสหรัฐฯ ประกาศอิสรภาพจากความไม่เป็นธรรมทางการค้าครั้งใหญ่รอบนี้ เพื่อประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยละเอียดต่อไป

** SCB EIC **

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานพิเศษ :  EXIM BANK ผนึกกำลัง SINOSURE สนับสนุนผู้ประกอบการไทย-จีน ขยายการส่งออกและลงทุน รายงานพิเศษ : EXIM BANK ผนึกกำลัง SINOSURE สนับสนุนผู้ประกอบการไทย-จีน ขยายการส่งออกและลงทุน
  • SCB EIC คาด กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% ภายในสิ้นปีนี้ SCB EIC คาด กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% ภายในสิ้นปีนี้
  • ภาษีทรัมป์ป่วนอุตฯยานยนต์ ฉุดยอดผลิตรถเหลือแค่1.4-1.45ล้านคัน ภาษีทรัมป์ป่วนอุตฯยานยนต์ ฉุดยอดผลิตรถเหลือแค่1.4-1.45ล้านคัน
  • ส่งออกเผชิญความเสี่ยง นโยบายภาษีสหรัฐ-การค้าโลกชะลอตัว ส่งออกเผชิญความเสี่ยง นโยบายภาษีสหรัฐ-การค้าโลกชะลอตัว
  • Bitget ชี้เหตุขัดแย้งอิสราเอล – อิหร่านกระทบบิตคอยน์ช่วงสั้น Bitget ชี้เหตุขัดแย้งอิสราเอล – อิหร่านกระทบบิตคอยน์ช่วงสั้น
  • ลดงบขาดดุลเพิ่มรายได้ โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มากกว่า \'แค่ขึ้นภาษี\' ลดงบขาดดุลเพิ่มรายได้ โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มากกว่า 'แค่ขึ้นภาษี'
  •  

Breaking News

รวบเขมรลอบเข้าเมือง! ซิมเถื่อน200เบอร์-เงินแสนในมือ คาดโยงแก๊งอาชญากรข้ามชาติ!

เปิดละเอียดยิบ 12 ข้อกังขาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ‘กมธ.กาสิโนสว.’ส่งหนังสือถาม‘นายกฯ’

จยย.เฉี่ยวรถยนต์ ร่างลอยกระแทกขอบปูนหมดสติ ยื้อไม่ไหวเสียชีวิต

โค้งสุดท้ายหนุ่มอุ้มไหแห่นาค ไหว้ท้าวเวสสุวรรณขอเลขก่อนเข้าโบสถ์บวชพระ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved