เปิดละเอียดยิบ 12 ข้อกังขาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ‘กมธ.กาสิโนสว.’ส่งหนังสือถาม‘นายกฯ’
30 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) วุฒิสภา ได้ทำหนังสือเชิญ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมกับ กมธ. ในวันที่ 17 ก.ค. เพื่อให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงและร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยหากนายกฯไม่สามารถมาร่วมประชุมได้ สามารถตอบเป็นหนังสือกลับมายัง กมธฯ.
ทั้งนี้ ในหนังสือดังกล่าวทาง กมธ.ฯ ได้ตั้งคำถามถึง นายกฯ 12 ประเด็น ดังนี้
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) วุฒิสภา ได้ประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๘ และได้รับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในบางประเด็นแล้ว นั้น
คณะกรรมาธิการวิสามัญมีความประสงค์ขอเชิญท่านและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข CA 428 ชั้น ๔ อาคารรัฐสภา ทั้งนี้ เพื่อพิจารณาแลกเปลี่ยนข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นในประเด็นข้อชักถามสำคัญที่คณะกรรมาธิการวิสามัญประสงค์จะขอทราบข้อมูลแนวทางการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลอย่างชัดเจน ดังนี้
๑. กรณีที่มีการกำหนดให้พื้นที่สำหรับกิจการกาสิโนภายในสถานบันเทิงครบวงจรไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของพื้นที่ทั้งหมด หน่วยงานของรัฐหรือรัฐบาลได้มีการประเมินหรือคำนวณประมาณการความเป็นไปได้หรือไม่ว่า พื้นที่ดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้คิดเป็นสัตส่วนสูงถึงร้อยละ ๙๐ ของรายได้รวมทั้งหมดของโครงการ
๒. กรณีที่มีข้อมูลปรากฏเป็นข่าวในสื่อสารมวลชนว่ารัฐบาลมีแนวทางจะอนุญาตให้จัดตั้งบ่อนกาสิโนภายในสถานบันเทิงครบวงจรได้จำนวนทั้งสิ้น ๕ แห่ง อันประกอบด้วย พื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน ๒ แห่ง (โดยหนึ่งในนั้นตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ของการท่าเรือคลองเตย) จังหวัดภูเก็ต ๑ แห่ง จังหวัดเชียงใหม่ ๑ แห่ง และจังหวัดชลบุรี (ในบริเวณพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก) ๑ แห่ง รัฐบาลมีแนวทางที่จะดำเนินการตามข้อมูลดังกล่าวหรือไม่
๓. กรณีที่ดินของการท่าเรือแห่งประเทศไทยบริเวณคลองเตย ซึ่งได้มาจากการเวนคืนที่ดินจากประชาชนในอดีต หากมีการนำที่ดินดังกล่าวไปใช้เพื่อดำเนินโครงการสถานบันเทิงครบวงจรที่รวมถึงกิจการบ่อนกาสิโน หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่แตกต่างจากวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้ต่อประชาชนในขณะดำเนินการเวนคืน จะเป็นการใช้ประโยชน์ที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์หรือไม่
๔. ตามข้อมูลที่ปรากฏว่าภาคเอกชนได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ทางธุรกิจของโครงการบ่อนกาสิโน โดยตั้งสมมติฐานว่า หากต้องการให้กิจการดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ในระดับประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี จะต้องมีผู้เล่นชาวไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ ๕๐ ของผู้เล่นทั้งหมด โดยมีจำนวนผู้เล่นชาวไทยเฉลี่ยวันละ ๔๐,๐๐๐ คน คนละประมาณ ๓ ครั้งต่อปี และมีการเสียเงินจากการเล่นเฉลี่ยวันละ ๑๒,๐๐๐ บาทต่อคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรายได้ตามที่ประเมินไว้ ข้อมูลและสมมติฐานดังกล่าวมีข้อเท็จจริงหรือความถูกต้องหรือไม่
๕. ในกรณีที่รัฐบาลมีแนวทางจะใช้เทคโนโลยีของผู้ประกอบกิจการกาสิโนภายในสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อดำเนินมาตรการควบคุมและตรวจจับการฟอกเงิน รัฐบาลจะมีแนวทางสร้างความเชื่อมันต่อสาธารณะได้อย่างไร เนื่องจากผู้ประกอบการดังกล่าวย่อมถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับกิจกรรมการพนันและมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
๖. รัฐบาลมีมาตรการหรือแนวทางอย่างไร ในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สังคมเกี่ยวกับการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พิเศษประจำบ่อนกาสิโนภายในสถานบันเทิงครบวงจร โดยเฉพาะภารกิจด้านการป้องกันและติดตามตรวจจับการกระทำความผิดที่มีความซับซ้อนและมัก จะเกิดขึ้นในพื้นที่บ่อนภาสิโน เช่น การฟอกเงิน การหลอกลวงทางออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลุ่มสแกมเมอร์ และการค้ามนุษย์ เป็นต้น
๗. กรณีให้คณะกรรมการนโยบายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีอำนาจในการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาต อัตราภาษี ค่าตอบแทนอื่นใดอันเป็นรายได้ของรัฐ ตลอดจนมีอำนาจกำหนดจำนวนและสถานที่ตั้งของของบ่อนกาสิโน และสามารถเสนอให้ยกเว้นการใช้บังคับกฎหมาย อาทิ พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ รวมถึงการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีแก่ผู้ประกอบการตามมาตรการส่งเสริมการลงทุน (801) โดยไม่มีระบบถ่วงดุลและกลไกตรวจสอบที่ชัดเจน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการใช้อำนาจที่เกินขอบเขต และอาจส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของรัฐในระยะยาวได้ รัฐบาลได้มีแนวทางในการกำกับดูแล ตรวจสอบ และป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติในประเด็นดังกล่าวอย่างไร
๘. ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เคยให้ความเห็นว่ารายได้จากการพนันในธุรกิจกาสิโนมีลักษณะเป็นเพียงการโอนเงิน (Transfer) ระหว่างผู้เล่นการพนั้นมิใช่กิจกรรมที่ก่อให้เกิดผลผลิต (Production) จึงไม่สามารถนับรวมเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง อีกทั้ง อาจทำให้เกิดการสูญเสียเวลาและโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบในทางลบมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้นนั้น รัฐบาลได้ตระหนักและมีแนวทางในการพิจารณา วิเคราะห์ผลกระทบในประเด็นดังกล่าวอย่างรอบด้านและมีมาตรการใดในการป้องกันไม่ให้ธุรกิจกาสิโนกลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่
๙. หนึ่งในวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบ่อนกาสิโนและสถานบันเทิงครบวงจร คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยอ้างอิงตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งในช่วง ๑๕ ปีที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗๐ และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ๒.๕ เท่า
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับประเทศไทยในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่า มีจำนวนท้องเที่ยวเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๐๐ และมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นขึ้นถึง ๔ เท่า โดยไม่มีบ่อนกาสีโนอย่างถูกกฎหมาย ดังนั้น การนำเสนอข้อมูลเปรียบเทียบที่อาจมีลักษณะเลือกข้อมูลบางส่วนเพื่อสนับสนุนโยบายการจัดตั้งบ่อนกาสิโนและสถานบันเทิงครบวงจร อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือ ความครบถ้วนของการวิเคราะห์ และความชอบธรรมในการผลักดันโยบายดังกล่าวรัฐบาลได้มีมาตรการตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้านของข้อมูลมูลข้อเท็จจริง ที่ใช้ในการตัดสินใจอย่างไรหรือไม่
๑๐. ตามที่รัฐบาลได้ให้ข้อมูลว่า การศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสังคมจากโครงการสถานบันเทิงครบวงจรจะสามารถดำเนินการได้ภายหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายได้กำหนดและจัดหาพื้นที่ที่จะให้เอกชนเข้ามาลงทุนได้แล้วนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า แนวทางดังกล่าวอาจสะท้อนถึงกระบวนการวางแผนที่ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนทางธุรกิจเป็นลำดับแรก แทนที่จะเริ่มจากการศึกษาผลกระทบทางสังคมและความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในภาพรวมเสียก่อนโดยตั้งสมมติฐานเพื่อคัดเลือกพื้นที่ที่มีผลกระทบทางสังคมน้อยที่สุดเป็นเกณฑ์หลักในการดำเนินโครงการ ดังนั้น รัฐบาลมีเหตุผลอย่างไรในการเลือกดำเนินกระบวนการในลักษณะดังกล่าว และจะมีแนวทางใดเป็นหลักประกันว่าการเลือกพื้นที่ตั้งโครงการจะไม่ละเลยมิติทางสังคมและผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนโดยรอบ
๑๑. ตามข้อมูลที่ปรากฏว่า การศึกษาความเป็นไปได้ในอดีตเกี่ยวกับการจัดตั้งบ่อนกาสิโนในประเทศไทยมีลักษณะเป็นการกำหนดทิศทางไว้ล่วงหน้า (ตั้งธง) โดยใช้ชื่อว่า "สถานบันเทิงครบวงจร" และมีแนวคิดให้ดำเนินการในลักษณะของพื้นที่พิเศษ เสมือนเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ อีกทั้งยังมีรายงานว่ามีบุคคลบางกลุ่มได้ติดต่อประสานงานกับนักลงทุนหรือผู้ประกอบการจากต่างประเทศไว้ล่วงหน้าแล้วในหลายแห่งนั้น รัฐบาลได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวทั้งในด้านกระบวนการศึกษาที่อาจขาดความเป็นกลาง และความเชื่อมโยงของบุคคลหรือกลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนต่างชาติหรือไม่
๑๒. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาและสาระสำคัญ พบว่า มีการให้ความสำคัญกับกิจการบ่อนกาสิโนเป็นองค์ประกอบหลักอย่างชัดเจน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนต่อความเข้าใจของสาธารณชน หากไม่มีการระบุชื่อกิจการกาสิโนไว้ในชื่อพระราชบัญญัติอย่างชัดเจน ดังนั้น เพื่อความตรงไปตรงมา โปร่งใส และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน รวมถึงเพื่อให้สามารถดำเนินการทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนได้อย่างชัดเจนและครอบคลุมในสาระสำคัญ รัฐบาลได้พิจารณาถึงความเหมาะสมในการปรับปรุงชื่อร่างพระราชบัญญัติในมาตรา ๑ ให้เรียกว่า "พระราชบัญญัติธุรกิจบ่อนกาสิโนและสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ..." หรือไม่ และรัฐบาลมีหลักเกณฑ์ในการกำหนดชื่อพระราชบัญญัติดังกล่าวอย่างไร
อนึ่ง หากท่านไม่สามารถมาร่วมประชุมได้ ขอความกรุณาตอบเป็นหนังสือกลับมายังคณะกรรมาธิการวิสามัญ จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะได้รับเกียรติจากท่านและขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี