วันจันทร์ ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
ลดงบขาดดุลเพิ่มรายได้ โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มากกว่า 'แค่ขึ้นภาษี'

ลดงบขาดดุลเพิ่มรายได้ โจทย์ใหญ่ กระทรวงการคลัง ที่มากกว่า 'แค่ขึ้นภาษี'

วันจันทร์ ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 11.39 น.
Tag : กระทรวงการค้า งบประมาณแผ่นดิน ภาษี GDP
  •  

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการคลังที่หนักหน่วง งบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุลต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กำลังเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าการบริหารจัดการรายได้ของรัฐจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง แม้ว่าการปรับขึ้นอัตราภาษีจะเป็นวิธีการหนึ่งในการเพิ่มรายได้ แต่ในบริบทของประเทศไทยขณะนี้ การ "ขึ้นภาษี" เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ และอาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่พึงประสงค์ได้ การปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

จากการอภิปรายงบประมาณประจำปี 2569 ประเด็นหลักที่พรรคประชาชนใช้ตั้งคำถามกับแผนงบประมาณฉบับนี้ คือ การดำเนินงบประมาณขาดดุลแบบสุดโต่ง และมีการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลสูงที่สุดในประวัติการณ์ถึงกว่า 4.5% ต่อ GDP ซึ่งงบประมาณที่ถูกรีดออกมากว่า 3.77 ล้านล้านบาท สามารถนำไปใช้ได้จริงในการดำเนินโครงการพัฒนาประเทศเพียง 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่ถูกจัดสรรให้กับรายจ่ายงบประจำ เช่น รายจ่ายสำหรับบุคลากร งบชำระหนี้ งบผูกพัน และงบท้องถิ่น ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้อภิปรายแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการขาดดุลเพื่อให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศใหม่ แต่จะต้องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ในขณะที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล จะอภิปรายโต้แย้งว่าเป็นการวางรากฐานเพื่อใช้หนี้ที่มีอยู่ก่อน ในอนาคตรัฐบาลจะสามารถลดการขาดดุลได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสำหรับงบประจำอื่น ๆ ก็มีการปรับลดลงแล้วเช่นกัน รัฐบาลยังเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาท้องถิ่น จึงได้จัดสรรงบให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่อยากให้ฝ่ายค้านมองว่าแผนงบประมาณปี 2569 นี้ถูกเขียนขึ้นอย่างไร้ความรับผิดชอบ


เป็นเรื่องดีที่รัฐบาลมุ่งมั่นใช้หนี้ และควบคุมรายจ่ายประจำ แต่ก็มีโครงการอีกมากที่ต้องการเงินสนับสนุน การที่รัฐยังไม่มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้มากเพียงพอกับรายจ่ายจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถหลุดจากการกู้เพื่อลดการขาดดุลได้ ในรายงานความเสี่ยงการคลัง ปีงบประมาณ 2567 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุชัดเจนว่าประเทศไทยมีความสามารถในการจัดเก็บรายได้ต่ำ ขณะที่มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น และมีหนี้สาธารณะที่เพิ่มไม่หยุด ทำให้สภาพคล่องทางการคลังลดลง จึงแนะนำให้ประเทศไทยลดระดับการขาดดุลให้เหลือไม่เกิน 3% ของ GDP ผ่านการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ การลดรายจ่าย และผลักดันการออมหลังเกษียณ

ขณะนี้ปลัดกระทรวงการคลังประกาศจะเสนอแผนปฏิรูปภาษี โดยอาจมีการปรับขึ้นภาษีหลายประเภท เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้รัฐให้แตะ 18% ต่อ GDP ครอบคลุมทั้งภาษีสรรพากร และภาษีสรรพสามิต เช่น การขยายฐานภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล การจัดเก็บภาษีความหวาน และความเค็ม ซึ่งการขึ้นภาษีเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเรียกเม็ดเงินได้อย่างรวดเร็ว แต่การขึ้นภาษีเพียงอย่างเดียวมีข้อจำกัดและผลกระทบที่ต้องพิจารณา เช่น กำลังซื้อของผู้บริโภค ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และโครงสร้างภาษีที่ต้องสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจเพื่อให้เอื้อต่อการจัดเก็บรายได้ด้วย

ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนายเผ่าภูมิโรจนสกุล กำกับดูแลกรมสรรพสามิต ภาษีสรรพสามิตนับเป็นแหล่งรายได้ลำดับที่ 2 ใน 3 กรมจัดเก็บภาษี ที่ยังมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีสรรพสามิตยาสูบที่หายไป ในปี 2560 กรมสรรพสามิตตัดสินใจปรับโครงสร้างภาษียาสูบครั้งใหญ่ โดยนำการจัดเก็บภาษีแบบ 2 อัตรามาใช้ เพื่อเก็บภาษีจากทั้งขาปริมาณและขามูลค่า โดยในขามูลค่านั้น ได้แบ่งบุหรี่เป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มราคาประหยัดจะเสียภาษีน้อยกว่า และราคาสูงจะเสียภาษีมากกว่า ทำให้มีอัตราภาษีจริงเฉลี่ยต่อหน่วย (Effective Tax Rate: ETR) เพิ่มขึ้น แต่ภายหลังประกาศใช้ บุหรี่ทั้งไทยและต่างประเทศต่างลดราคามาแข่งขันในกลุ่มราคาประหยัดเพื่อเสียภาษีน้อยกว่า เป็นจุดเริ่มต้นของรายได้ภาษีสรรพสามิตยาสูบที่ไม่เคยกลับไปแตะระดับ 6 หมื่นล้านอีกเลย และในปี 2564 ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีบุหรี่อีกครั้ง ก็ส่งผลกระทบโดยตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปหาสินค้าทดแทนที่มีราคาถูก ทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตเองก็ตกต่ำจนถึงขีดสุด เหลือเพียง 5.1 หมื่นล้านในปี 2567 และอาจเหลือ 4.9 ล้านในปี 2568 ตกต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี แม้ว่ากระทรวงการคลังจะทราบดีว่าโครงสร้างภาษียาสูบที่เป็นสากลและเอื้อต่อการจัดเก็บรายได้คือการใช้โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียวที่เรียบง่าย และมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับสู่ภาษีอัตราเดียวหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มว่ากระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังนายเผ่าภูมิ โรจนสกุลจะดำเนินเปลี่ยนแปลงใดๆ ท่ามกลางรายได้ภาษีจะลดลงเรื่อย ๆ ทุกปี

รายงานความเสี่ยงการคลังชี้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาษีสรรพสามิตยาสูบนั้นเป็นผลกระทบโดยตรงจากการปรับโครงสร้างภาษี ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ต่างจากภาษีรถยนต์ที่ลดลงเพราะมีการปรับโครงสร้างเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีอัตราภาษีที่ต่ำกว่ารถยนต์สันดาปมากขึ้น โดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำมากขึ้นและส่งผลดีต่อสิ่งเเวดล้อมตามมา ปัญหาโครงสร้างภาษียาสูบจึงเป็นบทเรียนที่ดีให้กับกระทรวงการคลังที่ต้องเร่งหารายได้ ซึ่งมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการขึ้นภาษี กระทรวงการคลัง ต้องคิดหาหนทางระยะยาวในการปรับโครงสร้าง อุดรอยรั่ว เพื่อให้โครงสร้างภาษีมีประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้มากที่สุด เพราะเครื่องมือภาษีเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ยั่งยืนและสมดุล การเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ และความกล้าหาญทางการเมืองในการผลักดัน เพื่ออนาคตที่มั่นคงของประเทศไทย

-031

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ‘ทริสเรทติ้ง’ ประเมินศก.ปี 68 เติบโตที่ระดับ 1.8% ลงทุนรัฐขับเคลื่อน ‘ทริสเรทติ้ง’ ประเมินศก.ปี 68 เติบโตที่ระดับ 1.8% ลงทุนรัฐขับเคลื่อน
  • NL SUPER TAX เผยธุรกิจ SMEs ยังขาดความเข้าใจเรื่องภาษี แนะผู้ประกอบการเร่งศึกษา NL SUPER TAX เผยธุรกิจ SMEs ยังขาดความเข้าใจเรื่องภาษี แนะผู้ประกอบการเร่งศึกษา
  • กรมสรรพสามิตขับเคลื่อนโครงการ 1 ชุมชน 1 สรรพสามิต แชมเปี้ยน ปี 2568 กรมสรรพสามิตขับเคลื่อนโครงการ 1 ชุมชน 1 สรรพสามิต แชมเปี้ยน ปี 2568
  • เอกชนห่วงศก.ไทยแผ่ว  ส่งออก-ลงทุน-ท่องเที่ยวอ่อนแรง เอกชนห่วงศก.ไทยแผ่ว ส่งออก-ลงทุน-ท่องเที่ยวอ่อนแรง
  • S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ระดับ BBB+ คาดจีดีพีปี 68 โต 2.3% S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ระดับ BBB+ คาดจีดีพีปี 68 โต 2.3%
  • GCAP GOLD ชี้ทรัมป์ขู่เก็บภาษียุโรปหนุนทองคำแตะ 5.3 หมื่นบาท GCAP GOLD ชี้ทรัมป์ขู่เก็บภาษียุโรปหนุนทองคำแตะ 5.3 หมื่นบาท
  •  

Breaking News

'สุวัจน์'ชูครัวอีสาน อาหารไทยกู้ภัยเศรษฐกิจ

พิชิต'ออฟฟิศซินโดรม' ทางออกสำหรับคนวัยทำงานยุคดิจิทัล

(คลิป) กองทัพอากาศ'ไทย-อินโดนีเซีย' ซ้อมรบร่วม พื้นที่อีสานตอนใต้

(คลิป) ‘อิ๊งค์’ขึงขัง! กร้าวไทยมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมถูกข่มขู่

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved