nn ดูเหมือนว่าหลายสำนักวิจัยจะคาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจในปี 2567 น่าจะขยายตัวได้อย่างจำกัด คืออยู่ในกรอบ 2.7- 3% เหตุผลก็เพราะว่าการส่งออกฟื้นตัวได้ไม่ดีนัก ซึ่งอาจจะขยายตัวเพียง 1-2% เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ส่วนรายได้จากภาคการท่องเที่ยวยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็น 34 ล้านคน แต่ยังต่ำกว่าปกติที่ 40 ล้านคน ซ้ำการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ (5-6 หมื่นบาท/คน/ทริป)
นอกจากนี้คนไทยยังมีภาระหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ในระดับต่ำมาก ทำให้การบริโภคภาคเอกชนอาจชะลอตัวตามไปด้วย ส่วนภาคธุรกิจเอกชนบางส่วนเผชิญความยากลำบากในการชำระคืนหนี้ โดยในส่วนที่ระดมทุนผ่านตราสารหนี้ อาจมีต้นทุนการออกหุ้นกู้และการชดเชยความเสี่ยงที่สูงมากขึ้น นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังต้องเผชิญผลกระทบของของการที่เศรษฐกิจโลกเสี่ยงรีเซตครั้งใหญ่ จากความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะการเงินตึงตัวทั่วโลก และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนในระยะข้างหน้า
ด้วยที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญปัจจัยรอบด้านเช่นนี้ เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานยังคงอ่อนแอต่อไป โดยเฉพาะภาคการผลิตที่หดตัวต่อเนื่องในหลายอุตสาหกรรม และยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน อีกประเด็นที่จะกระทบภาคการผลิตก็คือ ต้นทุนด้านพลังงาน ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาครัฐอาจทยอยปรับลดความช่วยเหลือด้านพลังงานในไตรมาส 2 หลังราคาพลังงานโลกปรับลดลง และกองทุนน้ำมันเริ่มมีภาระหนี้สูงขึ้นมาก
ด้วยเหตุนี้เองหลายสำนักวิจัยจึงคาดว่าจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ จากสาเหตุ ดังนี้ เศรษฐกิจและเงินเฟ้อแผ่วลงมากในปีนี้ เช่น หากเศรษฐกิจไทยเติบโตเหลือต่ำกว่า 3% และแนวโน้มเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบ 1-3% มาก คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เองก็มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (Neutral rate) ที่ต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง ควรมีระดับต่ำลงกว่าที่เคยประเมินเอาไว้ สะท้อนจากมติ กนง.ไม่เป็นเอกฉันท์ในผลการประชุมวันที่ 7 ก.พ. 2567 ที่เริ่มคำนึงถึงประเด็นนี้ สำหรับเงินบาทอ่อนค่าเร็วในช่วงต้นปี แต่แรงกดดันเงินบาทอ่อนค่า จะเริ่มลดลง เนื่องจากตลาด Price out การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ออกไปมากแล้ว และแรงกดดันด้านอ่อนค่าของสกุลเงินหลักในภูมิภาคจะลดลง
ขณะที่ธนาคารกลางกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก จะเริ่มปรับทิศการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงไตรมาส 2 โดยประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในไตรมาส 2 ตามทิศทางเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (Negative interest rate)ในไตรมาส 3 (หรืออย่างเร็วไตรมาส 2) ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราส่วนการสำรองของธนาคารพาณิชย์ขั้นต่ำ (RRR)
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี