นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)หรือสภาพัฒน์แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)หรือเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ของปี 2566 ขยายตัว 1.7% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 1.4% ในไตรมาสสามของปี 2566 และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ของปี 2566 ลดลงจากไตรมาสสามของปี 2566 ที่ 0.6% สรุปทั้งปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% ชะลอตัวลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2565
ด้านการใช้จ่ายการอุปโภค-บริโภคภาคเอกชนและการส่งออกบริการขยายตัวในเกณฑ์สูงต่อเนื่อง การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเร่งขึ้นส่วนการส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาลและการลงทุนภาครัฐลดลงด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขายส่งขายปลีกและการซ่อมฯ และสาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่องขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมสาขาเกษตรกรรม และสาขาก่อสร้างปรับตัวลดลง อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.2% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.3% ของจีดีพี
จากปัจจัยดังกล่าวจึงได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 จากเดิมขยายตัว 2.7-3.7% เหลือขยายตัว 2.2-3.2% มีปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออกสินค้าการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภค-บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนและการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การอุปโภค-บริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 3.0% และ
3.5% ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐขยายตัว 2.9% ส่วนอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.9 -1.9% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.4% ของจีดีพี
นายดนุชากล่าวว่าสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังในช่วงถัดไป คือ มาตรการด้านการเงิน น่าจะต้องเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการลดภาระภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ ในส่วนของมาตรการดอกเบี้ยที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง และทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแคบลงโดยเฉพาะภาคครัวเรือน และผู้ประกอบการ SME รวมถึงการใช้มาตรการผ่อนคลายในกรณีชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ ซึ่งปัจจุบันใช้อยู่ที่อัตรา 8% ของยอดชำระรวม โดยอาจพิจารณากลับไปใช้ที่ขั้นต่ำ 5% อีกสักระยะ เพื่อช่วยให้ภาคครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อย มีกำลังใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเห็นว่าถ้าดำเนินการได้เร็ว ก็จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปได้พอสมควร อย่างไรก็ดี ก็คงต้องขึ้นกับการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2567 ควรให้ความสำคัญกับ (1) การติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังการทุ่มตลาดรวมทั้งการใช้มาตรการและวิธีการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากประเทศผู้ส่งออกสำคัญควบคู่ไปกับการทบทวนมาตรการทางภาษีให้มีความเหมาะสมและการปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้า
(2) การยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้า รวมทั้งใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
(3) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้น
(4) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2564 - 2566 มีการลงทุนจริงควบคู่ไปกับการเร่งรัดอนุมัติโครงการที่ได้เสนอขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงก่อนหน้า รวมทั้งเร่งรัดให้ผู้ประกอบการโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานสามารถเริ่มประกอบกิจการให้เร็วขึ้น
(5) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และการสร้างการรับรู้ต่อมาตรการ Long-term resident visa (LTR) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง
(6) การดำเนินมาตรการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่เกษตรกรผ่านการส่งเสริมรูปแบบและพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลจากความเสี่ยงของสภาพอากาศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
(7) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ โดยให้ความสำคัญกับ การเร่งรัดเบิกจ่ายจากงบประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี