nn หลายคนบอกว่าตอนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อ่วมอรทัยเพราะโดนฝ่ายการเมืองและกลุ่มนายทุนกดดันเพื่อให้ธปท.เร่งลดดอกเบี้ยนโยบาย...ซึ่ง...เศรษฐศาสตร์วันหยุด...ก็เห็นด้วยกับท่าทีของธปท.และ คุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย...ที่เลือกจะไม่ตอบโต้กลับ...เพราะมันไม่มีประโยชน์กับสังคม...และเลือกที่จะให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่สังคม...ซึ่งหลายท่านคงได้อ่านคำให้สัมภาษณ์ของท่านไปแล้ว...
วันนี้...เศรษฐศาสตร์วันหยุด…อยากจะหยิบเอาความเห็นที่มีประโยชน์อีกสักหนึ่งชิ้นมานำเสนอ...ซึ่งเป็นของ..คุณวิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ เศรษฐกิจไทยมีปัญหาที่โครงสร้าง “นโยบายการเงิน” เป็นเพียงแค่ “น้ำเกลือ” แนะควรให้ความสำคัญกับ “นโยบายกระจายสภาพคล่องทางการเงิน” มากกว่า “นโยบายการเงิน” …โดยสรุปแล้ว...คุณวิรไท..อธิบายว่า...เวลาที่พูดถึง นโยบายเศรษฐกิจมหภาค คนทั่วไปมักนึกถึงนโยบายหลัก 3 ด้าน คือนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ นโยบายแต่ละด้านมีวัตถุประสงค์ วิธีการทำงาน ข้อจำกัด และผลข้างเคียงต่อระบบเศรษฐกิจไม่เหมือนกัน การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาค จึงต้องประสานนโยบายทั้ง 3 ด้านเข้าด้วยกัน จัดลำดับความสำคัญให้เหมาะสมกับปัญหา และบริบทในแต่ละช่วงเวลา เศรษฐกิจถึงจะก้าวหน้าไปได้อย่างยั่งยืน ไม่สร้างผลข้างเคียงให้ต้องตามแก้ไขกันทีหลัง
“นโยบายการเงิน” มีวัตถุประสงค์หลักคือดูแลปริมาณเงินทั้งระบบให้เหมาะสม โดยไม่ทำให้ค่าของเงินด้อยค่าลง ไม่ว่าจะเป็นจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น หรืออัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนลงเรื่อยๆ ในช่วงหลัง นโยบายการเงินต้องให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของระบบการเงินด้วย ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำเกินไป หรือใส่ปริมาณเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจมากเกินควร ก็อาจจะเกิดฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ ราคาสินทรัพย์ต่างๆเพิ่มสูงขึ้นเร็วเกิดสภาวะหนี้ท่วม และคนจะมุ่งเก็งกำไรโดยประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) เป็นเชื้อไฟสะสมที่นำไปสู่วิกฤตทางการเงินได้เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
“นโยบายการเงิน” มีข้อจำกัดหลายด้าน เพราะต้องทำงานผ่านกลไกตลาดในระบบการเงิน โดยปกติการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายใช้เวลานาน (12-18 เดือน) กว่าที่จะเกิดผลกับเศรษฐกิจจริง ในบางช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง ธนาคารกลางอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงแรงหรือลงหลายครั้ง แต่ก็จะสร้างผลข้างเคียงที่ต้องตามจัดการภายหลัง เช่น กลับมาขึ้นดอกเบี้ย นโยบายที่ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดได้ นโยบายการเงิน เป็นเหมือน “น้ำเกลือ” ที่ฉีดเข้าเส้นเลือดหลัก เพื่อรักษาอาการขาดน้ำหรือขาดแร่ธาตุจำเป็น แต่น้ำเกลือไม่สามารถแก้ไขอาการป่วยที่ต้องการยาเฉพาะทาง
สภาวะเศรษฐกิจไทยในวันนี้ ปัญหาใหญ่ที่ทุกคนคงเห็นตรงกัน คือ เศรษฐกิจไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้รายได้และสินทรัพย์กระจุกตัว เศรษฐกิจในภาพรวมยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่ธุรกิจขนาดใหญ่มีพลังและอำนาจเหนือตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ธุรกิจ SMEs ทำธุรกิจด้วยความยากลำบาก คนที่อยู่ฐานล่างของสังคม มีรายได้แบบชักหน้าไม่ถึงหลัง มีหนี้ท่วม แม้ว่าโควิดจะสงบลงแล้ว แต่วิกฤตโควิดได้ฉุดให้ธุรกิจ SMEs จำนวนมากล้มละลาย คนจำนวนมากติดอยู่ในกับดักหนี้แบบไม่เห็นทางออก…ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยก็ต้องเผชิญกับโชคร้ายซ้ำสอง เนื่องจากความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้กระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณถูกเลื่อนออกไปนานกว่า 8 เดือน งบประมาณภาครัฐที่เคยหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักไป…
ในเวลานี้ การแก้ปัญหาด้านการเงินและสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจไทย ควรให้ความสำคัญกับ “นโยบายกระจายสภาพคล่องทางการเงิน” มากกว่า “นโยบายการเงิน” โดยต้องแก้ปัญหาเส้นเลือดเส้นเล็กตามจุดต่างๆ ตีบตัน เพื่อให้อวัยวะน้อยใหญ่ทั่วร่างกายได้รับสารอาหารอย่างทั่วถึง นโยบายกระจายสภาพคล่องทางการเงิน ต้องกำหนดเป้าหมายเฉพาะจุดให้ชัดเจน ไม่สามารถทำแบบเหวี่ยงแหได้ มีตัวอย่างมาตรการที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์อย่างน้อย 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. เพิ่มสภาพคล่องและลดต้นทุนทางการเงินให้ธุรกิจ SMEs 2. เร่งดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนให้เท่าทันกับขนาดและความรุนแรงของปัญหา3. เร่งรัดกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจ SMEs กระบวนการการไกล่เกลี่ยและบังคับคดีให้รวดเร็ว และเป็นธรรมแก่ลูกหนี้
เนื้อหาเต็มๆลองไปค้นอ่านดูได้...และรัฐบาลควรอ่านอย่างยิ่งเพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ถูกวิธี
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี