nn หลังจากที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ แถลงตัวเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เท่ากับ 107.22 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเท่ากับ 108.05 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง 0.77% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5…ก็เริ่มกระแสกดดันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กลับมาอีกแล้ว
ก็เลยมีเสียงจากนักวิชาการออกมาบอกประมาณว่าใจเย็นๆ ก่อนครับ...เพราะแม้ว่าเงินเฟ้อจะติดลบลง 5 เดือนติดต่อกัน แม้ว่าตามตำราเศรษฐศาสตร์จะบอกว่าเข้าข่ายหลักเกณฑ์ของภาวะเงินฝืดตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่เงินเฟ้อต้องติดลบ 3 เดือนก็ตาม…แต่ว่าข้อเท็จจริงแล้ว การที่เงินเฟ้อลดลงไม่ได้มาจากเหตุผลของกำลังซื้อลดลง โดยเห็นได้จากที่ปี’66 กำลังซื้อมีการขยายตัวได้ถึง 7% ส่วนปี’67 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้อีก 3% กว่า
และที่สำคัญคือช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาการที่เงินเฟ้อลดลงมาจากราคาพลังงานที่รัฐบาลมีการอุดหนุน รวมถึงราคาอาหารที่ลดลง และสถานการณ์สินค้าราคาถูกจากจีน
ทะลักเข้าสู่ไทย ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อลดลงอย่างที่ปรากฏอยู่
อีกเรื่องคือการว่างงานของไทยในปัจจุบันยังไม่ถึง 1% ดังนั้น โดยรวมแล้วจึงยังไม่เข้าข่ายภาวะเงินฝืดในความหมายอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นสัญญาณจากเงินเฟ้อที่ลดลง
ต่อเนื่อง 5 เดือน ยังไม่มีความน่าเป็นห่วง แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ กำลังซื้อลดลง ประชาชนจะพยายามไม่ใช้จ่าย จนทำให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวลง
ประเด็นของเศรษฐกิจไทย ณ นาทีนี้คือ...เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ระดับหนึ่ง(2.5-3%) แม้ว่าการส่งออกจะยังขยายตัวได้ระดับต่ำ การใช้เงินในงบประมาณล่าช้า ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยังไปได้อยู่ การท่องเที่ยวก็กลับมาฟื้นตัวมากขึ้นกว่าปีก่อนแล้ว
และที่สำคัญมากตอนนี้คือ...เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึง...หมายถึงว่าบางกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอี และประชาชนคนรากหญ้า ไม่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้เลย....สะท้อนออกมาจากตัวเลขหนี้เสียภาพธุรกิจของกลุ่มเอสเอ็มอีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนพี่น้องประชาชนก็สะท้อนออกมาจากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจำไม่ผิดตอนนี้กว่า 16 ล้านล้านบาทคิดเป็นกว่า 91% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
ต้องบอกเลยว่าประเด็นปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นมันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขมานาน ความมั่งคั่งก็เลยกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะคนบางกลุ่มเพียงเท่านั้นซึ่งก็แค่ 1% ของคนทั้งประเทศ ดันนั้นรัฐบาลต้องแก้ไขจุดนี้ ไม่ใช่พยายามหาประเด็นไปกดดันธนาคารแห่งประเทศไทยให้ลดดอกเบี้ย..
พงษ์พันธุ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี