นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เปิดเผยว่า ปตท.ตั้งงบลงทุนช่วง 5 ปี (2567-71) วงเงิน 89,203 ล้านบาท เป็นการลงทุนของปตท.และบริษัทที่ปตท.ถือหุ้น 100% เฉพาะปีนี้ลงทุนประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2567)มีการลงทุน อาทิ โครงการท่อส่งก๊าซบนบกเส้นที่ 5 ปัจจุบันเหลือก่อสร้างเพียง 2-3 กิโลเมตร โครงการซีพีเอฟของโรงกลั่นไทยออยล์ ขยายกำลังการกลั่นจาก 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย มั่นใจว่าตลอดปีนี้จะลงทุนตามเป้าหมายแน่นอน
ทั้งนี้ ปตท.จะลงทุนตลอด 5 ปีตามแผน แยกเป็นกลุ่มธุรกิจที่สำคัญดังนี้ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 30,636 ล้านบาทคิดเป็น 34% ธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ 14,934 ล้านบาท คิดเป็น 17% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานและสำนักงานใหญ่ 12,789 ล้านบาท คิดเป็น 14% ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและปิโตรเลียมขั้นปลาย 3,022 ล้านบาท คิดเป็น 4% และลงทุนในบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้น 100% จำนวน 27,822 ล้านบาท คิดเป็น 31%
“ธุรกิจของปตท. ดำเนินการภายใต้วิสัยทัศน์ Powering Life with Future Energy and Beyondขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานอนาคตและธุรกิจใหม่ที่ไปไกลกว่าพลังงาน เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2583 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 จากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนโดยมุ่งธุรกิจใหม่” นายอรรถพลกล่าว
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทยปี 2567 พบว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่องและเงินเฟ้อชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้น แต่อาจเผชิญกับอุปสรรคหลายด้าน ปัจจัยที่น่าจับตามองของโลกมี 5 ด้าน ได้แก่ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 2.นโยบายการเงินของแต่ละประเทศ การควบคุม 3.การผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปก 4.อุปทานจากกลุ่มนอน-โอเปก และ 5.ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ คาดการณ์ราคาน้ำมันดูไบปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 75-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยดีมานด์ถูกกดดันจากความกังวลด้านการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังธนาคารกลางทั่วโลกยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย และในด้านซัพพลายจากกลุ่ม นอน-ออยล์ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ จากสหรัฐฯ บราซิล อิหร่าน และเวเนซุเอลา
นายอรรถพลกล่าวว่า ปตท. ดำเนินธุรกิจโดยไม่เอาเปรียบผู้บริโภค สิ่งที่สะท้อนชัดเจน คือ ผลการดำเนินงาน ปตท. และบริษัทย่อย ปี 2566ซึ่งมีกำไรสุทธิ 112,024 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 3.6% ของยอดขาย อย่างไรก็ตามกำไรดังกล่าวยังสูงกว่าปี 2565 เป็นผลมาจากความร่วมมือของกลุ่ม ปตท. ในการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยสามารถลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 13,000 ล้านบาท ประกอบกับในปี 2566 กลุ่มปตท. มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงและมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นตามค่าเงินบาทที่แข็งค่าในปี 2566 นอกจากนี้กำไรในปี 2566 ยังพบว่ากลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกมีกำไรสัดส่วน 7% สัดส่วนนี้หากพิจารณาเฉพาะธุรกิจน้ำมันพบว่า มีกำไรแค่เพียง 1% เท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี