นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเริ่มฟื้นตัว แต่การค้าโลกในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-อิหร่านที่ยกระดับขึ้นส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าของไทย โดยปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกยังมีความเปราะบางจากภาระหนี้สาธารณะของทั่วโลก สถานการณ์ด้านต้นทุนที่สูงขึ้น ภาวะเงินเฟ้อ ทำให้การบริหารอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม มีความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย
ทั้งในด้านโครงสร้างของอุตสาหกรรมของประเทศที่เริ่มแข่งขันได้ยากขึ้น ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านภาพลักษณ์ของภาคอุตสาหกรรมต่อประชาชน
ทั้งนี้ประเด็นที่ต้องขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วนและมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ “อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน” โดยรองรับบริบททางเศรษฐกิจของประเทศในแต่ละพื้นที่ผ่านการเติบโตอย่างยั่งยืนใน 4 มิติ คือ ความสำเร็จทางธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ ความอยู่ดีกับสังคมโดยรวม ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างสถานประกอบการ ชุมชน และสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตร ความลงตัวกับกติกาสากล ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เพิ่มโอกาสทางธุรกิจมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตอบโจทย์ไทยและประชาคมโลก และการกระจายรายได้สู่ชุมชน
นายณัฐพล กล่าวว่า กระทรวงได้ปรับแนวคิดและการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใสตอบสนอง และเป็นมืออาชีพ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับทุกองค์ประกอบของภาคอุตสาหกรรม ควบคู่กับการสร้างความเข้มแข็งและกระจายรายได้สู่ชุมชน โดยการทำงานดีด้วย “หัว” และ “ใจ” ของคนกระทรวงอุตสาหกรรม ผลักดันนโยบายและการดำเนินงานอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การส่งเสริมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การกำกับดูแลการประกอบการให้เป็นไปตามกฎหมาย กลไกของมาตรฐาน กองทุนและเงินทุน สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกอบกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคมรวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่ายสถานประกอบการ และการบูรณาการการทำงานของกระทรวงกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ทั้ง 76 จังหวัด ศึกษาและเข้าใจเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อวางแนวทางในการ
ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถตอบโจทย์การลงทุนของภาคอุตสาหกรรม พร้อมผลักดันให้เศรษฐกิจในพื้นที่สามารถเติบโต ครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน โดยนำระบบดิจิทัลมาเชื่อมโยงในการดำเนินงานให้กับผู้ประกอบการเพื่อก้าวสู่รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) อาทิ การรายงานข้อมูลผ่านระบบ i-single form การตรวจกำกับโรงงานด้วยระบบ i-Auditor ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผู้ประกอบการเพื่อกำหนดแนวทางนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่สนับสนุนผู้ประกอบการได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ในส่วนของการช่วยผู้ประกอบการทางกระทรวงได้มีการเปิดสินเชื่อตัวใหม่ คือ “เสือติดปีก”และคงกระพัน ของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และการดำเนินงานโครงการสินเชื่อลดโลกร้อนปี 2566 และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจกำกับโรงงานด้วยระบบ i-Auditor เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าตรวจ บรรเทาการขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร พร้อมรวบรวมข้อมูลโรงงานที่มีอยู่เข้ามาในระบบเดียวกันให้สามารถตรวจสอบได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และมีการชี้แจงรายละเอียดการบริหารโครงการเบิกจ่ายแทนกันปี 2567 และการยกระดับงานเหมืองแร่ผ่านโครงการเงินบำรุงพิเศษ “เหมืองแร่ดีคู่ชุมชน” เพื่อช่วยเหลือด้านเงินทุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ เป็นต้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี