นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. โดย สถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย-จีน พร้อมด้วยคณะกรรมการสถาบันฯ และผู้แทนจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ ได้ต้อนรับและหารือกับนาย Sun Weiyong, Vice President of China International Exhibition Center Group Limited และคณะ เพื่อวางแผนการจัดงาน New Energy Vehicles andAccessories Expo ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย

ทั้งนี้ ที่ประชุม ได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการค้าในด้านอุตสาหกรรมต่างๆ ระหว่างประเทศไทยและจีนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยและอุตสาหกรรมห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้อง เช่น สินค้าแบตเตอรี่ อะไหล่และชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น รวมทั้งหารือถึงแนวทางการจัดงาน New Energy Vehicles and Accessories Expo เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการค้าและอุตสาหกรรมร่วมกัน

โดยผู้ประกอบการฝั่งไทยเน้นย้ำว่าไทยมีความพร้อมที่จะเข้าสู่การเป็นห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน เนื่องจากมีศักยภาพและมีความพร้อมทั้งด้านแรงงาน และการผลิตและการสร้างความร่วมมือด้วยกันระหว่างผู้ประกอบการ เช่น การทำ Business Matching ระหว่างผู้ประกอบการจีนและไทย ซึ่งผู้จัดงานได้หารือเพิ่มเติมในการเข้ามาสนับสนุนการจัดงานจาก ส.อ.ท.ในปีหน้า

คณะผู้แทนจากจีนได้เชิญชวนผู้แทนและสมาชิก ส.อ.ท เข้าร่วมงาน ChinaInternational Supply Chain Expo (CISCE) ครั้งที่ 2 ที่กำหนดจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ซึ่งเป็นแสดงสินค้าที่โชว์ศักยภาพและความพร้อมของอุตสาหกรรมจีน ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำถึงปลายน้ำซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการต่างชาติเป็นจำนวนมาก

สถาบันเศรษฐกิจและการลงทุนไทย – จีน ยังได้เข้าร่วมงานเสวนาและนำเสนอผลงานทางวิชาการในหัวข้อเรื่อง “การสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย-จีน (Building a Thailand-China Community with a Shared Future)” จัดโดยศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเปิดงาน

โดยในงานเสวนา ได้พูดถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนที่มีระยะเวลายาวนานถึง 50 ปี รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยน หารือในระดับผู้นำประเทศ ภาครัฐและเอกชน และระดับประชาชนของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ยังได้ร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างความร่วมมือในอนาคต เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ด้านการวิจัยและวิชาการ เป็นต้น