ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนกรกฎาคม 2567 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การส่งออกมีมูลค่า 25,720.6 ขยายตัว 15.2% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 938,285 ล้านบาท ขยายตัว 21.8% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนกรกฎาคม ขยายตัว 9.3%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 27,093.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.1%และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 999,755 ล้านบาท ขยายตัว 19.4% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2567 ขาดดุลเท่ากับ 1,373.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลในรูปของเงินบาท 61,470 ล้านบาท
ขณะที่ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม-กรกฎาคม ปี 2567 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) พบว่าไทยส่งออกรวมมูลค่า 171,010.6 ล้านเหรียญสหรัฐขยายตัว 3.8% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 6,129,300 ล้านบาท ขยายตัว3.8% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงมกราคม-กรกฎาคม ขยายตัว 4%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 177,626.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 4.4% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 6,437,235 ล้านบาท ขยายตัว 9.9% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2567 ขาดดุลเท่ากับ 6,615.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการขาดดุลในรูปเงินบาท 307,935 ล้านบาท
ทั้งนี้ สรท. คงคาดการณ์การส่งออกปี 2567 เติบโตที่ 1-2% โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังในครึ่งปีหลังที่สำคัญ ได้แก่ 1.ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วอย่างมีนัยสำคัญส่งผลโดยตรงต่อการส่งออกทันที เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ราคาสินค้าของไทยสูงกว่าคู่แข่ง ส่งผลต่อความสามารถในการแข็งขันที่ลดลงของผู้ประกอบการในประเทศ2.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และแคนาดา ตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีน ส่งผลให้สินค้าจีนไหลกลับมายังตลาดเอเชีย และสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางยังคงยืดเยื้อ 3.ปัญหาการขนส่งสินค้าทางทะเล ซึ่งกระทบซัพพลายเชนในภาคการผลิต และการให้บริการในท่าเรือฝั่งตะวันออกซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินเรือในภาพรวม,ค่าระวางเรือยังคงตึงตัวและผันผวนในท่าเรือหลัก,ปัญหาสภาพตู้ขนส่งสินค้าที่สายเรือส่งมอบให้บรรจุสินค้าต่ำกว่าความคาดหวังของผู้ส่งออก และ4.การเข้าถึงและการตัดวงเงินสินเชื่อของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ
ดร.ชาญชัยกล่าวอีกว่า สรท. มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลใหม่ที่สำคัญ ดังนี้ 1.ด้านโครงสร้าง รัฐบาลต้องมุ่งเน้นให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นชาติการค้าเพื่อช่วยสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและแข่งขันได้ในระดับสากล และ การพัฒนาการส่งออก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สามารถแข่งขันและเติบโตอย่างมั่นคง 2.ด้านโลจิสติกส์ ต้องเร่งแก้ไขปัญหาความแออัดท่าเรือแหลมฉบัง ที่มีมาต่อเนื่อง ประกอบกับค่าน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อต้นทุนที่ผู้ส่งออก-นำเข้า ต้องแบกรับ 3.ด้านการเงิน ต้องรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไปพร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเร่งประกันความเสี่ยงค่าเงินบาท สนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ให้เพียงพอต่อการหมุนเวียนกระแสเงินสดและการผลิตเพื่อการส่งออก4.ด้านการผลิตและต้นทุน โดยต้องกำกับดูแลต้นทุนการผลิตและต้นทุนวัตถุดิบ เพื่อให้การส่งออกของไทยยังคงขีดความสามารถในการแข่งขันได้อาทิ ต้นทุนพลังงานและราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าแรงขั้นต่ำ และค่าขนส่งสินค้าทางทะเลโดยเฉพาะค่าระวางเรือ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และกำกับดูแลสินค้าการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ต้องเอื้อประโยชน์ให้กับซัพพลายเชนในประเทศ 5.ด้านการตลาดและ e-Commerce รัฐต้องกำกับดูแลสินค้าไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงสินค้าต้นทุนต่ำที่ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศโดยเฉพาะ SMEs และปัญหาการจ้างงานลดลง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี