นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท. เตรียมเงินลงทุนประมาณ 55,000 ล้านบาทใน 5 ปี โดยในปีนี้จะใช้เงินลงทุน 25,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกีบปี 2567 ที่ลงทุน 26,000 ล้านบาท โดยปีนี้เป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อก๊าซ ท่าเรือ เทรดดิ้ง เป็นต้น โดยถือว่าเป็นมูลค่าเงินลงทุนที่สูงมาก เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับ ปตท. ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ รวมถึงดูแลนักลงทุน และประชาชน
“การลงทุนดังกล่าวน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย เนื่องจากเป็นการปรับกลยุทธ์ไปสู่การลงทุนที่คุ้มค่า โดยไม่ใช้เงินจำนวนมาก แต่สามารถสร้างผลกำไรได้ในระดับสูง สำหรับความคืบหน้าแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจนั้น ล่าสุดได้ยุติธุรกิจเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) เพื่อนำเงินไปลงทุนเพื่อศักยภาพในธุรกิจที่มีความชำนาญ หรือเชี่ยวชาญ รวมถึงเพิ่มพันธมิตรในธุรกิจโรงกลั่น และสำรวจปิโตรเลียม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนของการเจจา โดยเชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในอีกไม่ช้า”นายคงกระพันกล่าว
นายคงกระพัน กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึ่งไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจีดีพีจะอยู่ที่ระดับ 3.3% และคาดการณ์เศรษฐกิจไทยที่ 2.9% รวมถึงผลจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานั้น ทาง ปตท.จะติดตามผลกระทบทางด้านการค้า ค่าเงิน และดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการพิจารณาในการลงทุน และการบริหารงานในภาพรวม ส่วนประเด็นเรื่องของพลังงานโลกที่ทรัมป์ลดความสำคัญของพลังงานสะอาดนั้น มองว่าไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เพราะทิศทางของโลกยังมุ่งไปพลังงานสะอาด ดังนั้น ปตท. จึงยังมุ่งไปที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีในการลดก๊าซเรือนกระจกใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage /CCS) และไฮโดรเจนต่อไปตามแผน
ส่วนประเด็นเรื่องนโยบายการลดค่าไฟ โดยปรับโครงสร้างราคาก๊าซ (Pool Gas) เพื่อลดค่าไฟงวด พ.ค. ส.ค. เพื่อลดค่าไฟลง 40 สตางค์นั้น ปตท. ยังไม่ได้รับการประสานงานจากกระทรวงพลังงาน แต่ในปี 67 ปตท. ได้สนับสนุนราคาก๊าซฯในการลดค่าไฟ รวมถึงสนับสนุนราคาพลังงาน เช่น NGV และ LPG ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 67 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 3,090,453 ล้านบาท ลดลง 1.7% และมีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท ลดลง 19.6% โดยเป็นผลมาจากธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีรายได้จากการขายลดลง แม้จะมีปริมาณการขายน้ำมันสำเร็จรูป แบะ LNG เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีรายได้จากการขายลดลงเช่นกัน จากราคาขายเฉลี่ยลดลงตามราคา pool gas
นอกจากนี้ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกกมีรายได้ลดลงจากประมาณการขายที่ลดลง ยกเว้นธุรกิจโรงแยกก๊าซ ที่มีปริมาณการขายและราคาเพิ่มขึ้น รวมถึงระบบธุรกิจท่อส่งก๊าซที่มีรายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากการจองใช้ท่อของลูกค้าลงแยกก๊าซ และโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจกลุ่มสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมมีรายได้เพิ่มขึ้นแม้ว่าราคาขายเฉลี่ยจะลดลง
“ปีนี้ยังคงท้าทาย ปตท. มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างการเติบโตควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ต้องสร้างความแข็งแรงภายในองค์กร ลดความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพให้กับธุรกิจ พิจารณาการลงทุนด้วยความระมัดระวัง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุล พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน”นายคงกระพันกล่าว
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี