นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ในปี 68 คาดว่าไทยส่งออกข้าว 7.5 ล้านตัน ลดลงจากปี 2567 ส่งออกข้าวได้เกือบ 10 ล้านตัน จากกรณีอินเดีย ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่กลับมาส่งออกข้าวขาว ในขณะที่ความต้องการข้าวในตลาดโลกลดลงจากปีก่อน และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทย คือ เรื่องค่าเงินบาทผันผวนอย่างมาก ทำให้การกำหนดราคาข้าวทำได้ยาก จึงอยากเรียกร้องให้ ธปท. ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพ

โดยในช่วงตั้งแต่ 2 ม.ค.-24 ก.พ.68 ไทยส่งออกข้าวสะสม 1.1 ล้านตัน ลดลง 32% เมื่อเทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นการส่งออกข้าวขาว 503,558 ตัน ลดลง 54% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และการส่งออกข้าวหอมมะลิ 255,414 ตัน เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ข้าวไทยได้รับประโยชน์ จากการที่อินเดียระงับการส่งออกข้าว ทำให้ได้ส่วนแบ่งตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งปีที่แล้วไทยส่งข้าวขาวไปยังอินโดนีเซียกว่า 1.3 ล้านตัน ปีนี้คาดว่าการผลิตข้าวโลกทั่วโลก เพิ่มขึ้นกว่า 10 ล้านตันข้าวสาร ขณะที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าว และผลิตมากขึ้นจาก 137 ล้านตัน เป็น 145 ล้านตัน เป็นปัจจัยกดดันราคาข้าวในตลาดโลกลดลง ขณะที่เป้าหมายการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ คาดว่าลดลงร้อยละ 24.7 จากยอดส่งออกในปีก่อน 10 ล้านตัน ลดเหลือ 7.53 ล้านตัน

ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ รัฐบาลควรเข้ามาช่วยในเรื่องต้นทุนการผลิตและปัจจัยการผลิต ไม่ใช่เรื่องราคา เพราะหากราคาข้าวไทยสูงเกินไป ส่งออกไม่ได้ และทำให้ข้าวล้นตลาดอยู่ในประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งรัดการพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผลผลิตข้าวไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 400 กิโลกรัมต่อไร่ ต่ำที่สุดในโลก เทียบกับเวียดนามที่ผลผลิตข้าวอยู่ที่เฉลี่ย 800 กิโลกรัมต่อไร่ และสหรัฐที่ผลผลิตข้าวอยู่ที่เฉลี่ย 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ รวมทั้งต้องเป็นพันธุ์ข้าวที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกด้วย การติดตามนโยบายของสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้า เพราะหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าข้าวจากไทยเพียง 10% ก็จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกข้าวหอมมะลิของไทย เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดที่นำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยเป็นหลัก

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูลข่าว

โดย สำนักข่าวไทย

https://tna.mcot.net/