วันเสาร์ ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
ผวาสินค้าจีนท่วมตลาด SMEsไทยไปต่อไม่ไหวต้องปิดกิจการ

ผวาสินค้าจีนท่วมตลาด SMEsไทยไปต่อไม่ไหวต้องปิดกิจการ

วันพฤหัสบดี ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : จีน ส.อ.ท. สินค้า อุตสาหกรรม SMEs
  •  

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 44 ในเดือนมีนาคม 2568 ภายใต้หัวข้อ “มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อ การปรับกลยุทธ์รับมือสินค้านำเข้าจากจีน” พบว่า จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ประกอบกับปัญหาการระบายอุปทานที่ผลิตเกินความต้องการในจีน (Oversupply) เป็นปัจจัยกดดันให้เกิดการทะลัก (Flooding) ของสินค้าจีนมายังภูมิภาคต่างๆ รวมถึงไทยและอาเซียน และ ผู้บริหารบริษัทที่เป็นสมาชิก ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า การไหลทะลักเข้าของสินค้าจีน สร้างผลกระทบทำให้ส่วนแบ่งตลาดของสินค้าไทยลดลงโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค รวมถึงยังกดดันความสามารถในการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากในภาพรวมราคาสินค้านำเข้าจากจีนมีราคาต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ประมาณ 20 - 40% ซึ่งเกิดจากความได้เปรียบด้านต้นทุนและเทคโนโลยีการผลิตของจีน สินค้าราคาถูกจำนวนมากที่เข้ามาทุ่มตลาด  ซึ่งกังวลว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยจะสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน จนอาจทำให้บางอุตสาหกรรมต้องลดกำลังการผลิตหรือปิดกิจการได้

 “ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ จึงเสนอให้ภาครัฐเพิ่มความเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมาย เพิ่มบทลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย มีปรับขั้นตอนการพิจารณาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping: AD) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุนฯ (Countervailing Duty: CVD) ให้มีประสิทธิภาพและทันกับสถานการณ์ รวมทั้งพัฒนาระบบติดตามแจ้งเตือนปริมาณสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงผิดปกติ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ”หม่อมหลวงปีกทอง กล่าว 


นอกจากนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า ผู้ประกอบการไทยจะต้องปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เร่งสร้างจุดแข็งให้กับสินค้าไทย อาทิ การเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาบริการหลังการขาย ยกระดับคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐาน ตลอดจนมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยในการผลิตเพื่อลดต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีนได้

ทั้งนี้จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 540 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า  สินค้าที่ผลิตในประเทศ 70.9% ได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าจากจีนที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยราคาสินค้าที่ต่ำกว่าจากความได้เปรียบด้านต้นทุนและเทคโนโลยีการผลิต ถือเป็น จุดแข็งของสินค้าจีนที่สามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดประเทศไทยได้มากที่สุด รองลงมามีความหลากหลายของสินค้า การผลิตแบบ OEM/ODM ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ผู้บริโภค รวมทั้งสินค้ามีการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อปัญหาสินค้านำเข้าจากจีนและผลกระทบจากสงครามการค้าในเรื่องสินค้าราคาถูกจำนวนมากที่เข้ามาทุ่มตลาดส่งผลกระทบต่อ ขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs มากที่สุด รองลงมาคือการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งผ่านด่านศุลกากรและแพลตฟอร์มออนไลน์อีกทั้งการการนำเข้าสินค้ามาสวมสิทธิ์ในการส่งออก หรือใช้วัตถุดิบภายในประเทศเพียงส่วนน้อย รวมทั้งการขาดดุลการค้าและดุลการค้าที่ไม่สมดุลส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ 

ขณะที่นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากกรณีที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าไทย 37 % ว่า จากการติดตาม สอบถามในกลุ่มผู้ส่งออกไทย ส่วนใหญ่ยอมรับว่ามีความกังวลมาก โดยเฉพาะสินค้าที่มีการซื้อ-ขาย ล่วงหน้าและมีการตกลงราคาแล้ว จะยังสามารถส่งมอบได้หรือไม่ หรือว่าภาษีที่ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีกับสินค้าไทย 37% ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ จะเก็บกับผู้นำเข้าไหม เพราะแบบนั้นผู้นำเข้าขึ้นราคาสินค้า ราคาสินค้าก็จะขยับขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบไปยังผู้บริโภคของสหรัฐและมีผลต่อกำลังซื้อและคำสั่งซื้อใหม่ในอนาคต

ทั้งนี้หลังจากวันที่ 9 เม.ย. 68  จำเป็นจะต้องมีการติดตาม รายละเอียดของการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ว่าจะมีรายละเอียดและขั้นตอนอย่างไร จะเหมือนการปรับขึ้นภาษีวันที่ 5 เมษายน 2568 ที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะในเงื่อนไขระบุว่าสินค้าดังกล่าวจะต้องส่งมอบ หรือ ถึงสหรัฐ ก่อนวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ถ้าหลังจากนั้นสินค้าจะถูกเก็บภาษีเพิ่ม 10 %  อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าผู้นำเข้าก็ยังไม่มั่นใจ ทำให้ต้องชะลอส่งมอบสินค้า   โดยขณะที่เราอยากขายสินค้า ดังนั้น การเจรจาต่อรองจึงจำเป็นจะต้องเดินหน้า ส่วนคำสั่งซื้อใหม่นั้น ชัดเจนว่าจะยังไม่มี เพราะทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่รู้ว่าอัตราภาษีที่ปรับขึ้น จะเป็นภาระของใครที่จะเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้น ในช่วงเมษายนถึงพฤษภาคม 2568 การส่งออกยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

นายพจน์ กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการของภาครัฐ  5 แนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องทรัมป์ 2.0 ทางเอกชนเห็นด้วยในหลักการ  ซึ่งก็เป็นแนวทางที่เอกชนได้มีการเข้าไปพูดคุย หารือกับภาครัฐตั้งแต่ต้นปี 2568 รวมถึงข้อเสนอต่างๆ โดยสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องเข้าไปดูโดยเฉพาะมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรการด้านสุขอนามัยในสินค้าเกษตร มาตรการทางกฎหมายที่ยังเป็นอุปสรรค เป็นสิ่งที่ภาครัฐจำเป็นจะต้องแก้ไข รวมไปถึงการสวมสิทธิ์ใช้ไทยเป็นแหล่งส่งออก หรือการใช้ถิ่นกำเนิดไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐ เรื่องนี้กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาดูแลและเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะใน 49 หมวดสินค้าสำคัญ

“ สิ่งที่อยากจะฝากภาครัฐด้านการเจรจากับสหรัฐ อยากให้จัด “ทีมไทยแลนด์” ขึ้นมาโดยมีนายกเป็นประธาน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ในการวิเคราะห์ สรุปข้อมูล และอยากให้มีคณะที่สามารถจะเคาะมาตรการ และเดินหน้าแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ เพราะมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง  ส่วนทีมเจรจากับคณะทำงานแยกกันได้  สิ่งที่สหรัฐต้องการให้ไทยนำเข้าก็จะมี 4 หมวดสำคัญ คือ พลังงาน เกษตร-อาหาร เครื่องบิน อาวุธ เป็นสิ่งที่จะต้องมาหารือ และต้องยอมรับว่าการเจรจานั้นย่อมมีผู้ได้และผู้เสีย ” นายพจน์กล่าว

 

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • DITP เผย กัมพูชาแอบอ้างใช้ชื่อข้าวหอมมะลิไทยวางขายในจีน DITP เผย กัมพูชาแอบอ้างใช้ชื่อข้าวหอมมะลิไทยวางขายในจีน
  • คต. จัดสัมมนาถิ่นกำเนิดสินค้าฯ เสริมเขี้ยวเล็บผู้ประกอบการไทย คต. จัดสัมมนาถิ่นกำเนิดสินค้าฯ เสริมเขี้ยวเล็บผู้ประกอบการไทย
  • ‘พิชัย’ เดินหน้าขยายการค้า- ลงทุน-ส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน ‘พิชัย’ เดินหน้าขยายการค้า- ลงทุน-ส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน
  • อานิสงส์ รถBEV-PHEV ดันยอด”ผลิต-ขาย”พ.ค.เพิ่มขึ้น อานิสงส์ รถBEV-PHEV ดันยอด”ผลิต-ขาย”พ.ค.เพิ่มขึ้น
  • ส.อ.ท.เผยยอดผลิตรถยนต์ พ.ค. เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 21 เดือน ส.อ.ท.เผยยอดผลิตรถยนต์ พ.ค. เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 21 เดือน
  • คต.พร้อมลุยชลบุรี จัดสัมมนา From Trade War to Trade Win: พลิกเกมการค้า ฝ่าวิกฤตโลก คต.พร้อมลุยชลบุรี จัดสัมมนา From Trade War to Trade Win: พลิกเกมการค้า ฝ่าวิกฤตโลก
  •  

Breaking News

เช็คอากาศวันนี้!‘กรมอุตุนิยมวิทยา’พยากรณ์ทั่วไทย‘ฝนตกหนัก’ ระวังอันตราย‘น้ำท่วม-น้ำป่า’

‘ทูน หิรัญทรัพย์’เล่าชีวิตเกือบคิดสั้น ดวงตาเห็นข้างเดียว

‘ ฮันนี่ นิชาดา’ ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ ‘คนบ่แม่นของเฮา ‘

‘ธรรมชาติ-ดั้มมี่’ การันตี ‘The Voice Pride 2025’ สมมงอลังการ ทั้งเสียงและโชว์จัดเต็ม

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved