นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR เปิดเผยว่า ท่ามกลางสงครามความเสี่ยงทางการค้า เศรษฐกิจชะลอตัว รวมไปถึงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงที่ผ่านมา และพร้อมรับมือกับความท้าทายการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยมุ่งมั่นตอกย้ำการพัฒนาทุกโครงการของสิวารมณ์ ให้ตอบโจทย์บ้านที่ครบทุกความต้องการ กับพื้นที่ใช้สอยที่เลือกได้อย่างอิสระ พร้อมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นกับทุกสมาชิกในครอบครัว และบ้านที่ให้คุณภาพชีวิตได้มากกว่า ที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ภายใต้แนวคิด "Best Smart Living" ที่ขับเคลื่อนด้วย 4 “S” SMART

1.) SMART Location มุ่งเน้นทำเลที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาโครงการ จากสภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบโครงการที่มีศักยภาพและความเหมาะสม 2.) SMART Function มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการออกแบบรูปแบบบ้านเพื่อสอดรับกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกช่วงอายุ ภายใต้การใช้ชีวิตสมัยใหม่ควบคู่ไปกับการจัดวางพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3.) SMART Value ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการและก่อสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยวัสดุที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพ มีการใช้พื้นที่ใช้สอย ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อโครงการบ้าน และ 4.) SMART Home มุ่งเน้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้อยู่อาศัย

จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ     ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 (มกราคม – มีนาคม 2568) ที่มีรายได้รวมทั้งสิ้น 164.33 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้โครงการเพื่อขายโครงการต่อเนื่อง จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการสิวารมณ์ ซิตี้ (นิคมพัฒนา-ระยอง), โครงการสิวารมณ์ เนเจอร์พลัส (อัสสัมชัญ-ศรีราชา), โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (วงแหวน-ชัยพฤกษ์), โครงการสิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) และโครงการสิวารมณ์ ปาร์ค (วงแหวน-ประชาอุทิศ 76) นอกจากนี้รับรู้รายได้ของโครงการสิวารมณ์ไฮด์ (บางแค-สาทร) ซึ่งเป็นโครงการใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 1 โครงการ

ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ บริษัทฯ มีแผนที่จะลดภาระหนี้สินและดอกเบี้ยจ่ายให้อยู่ในระดับต่ำ  ณ 31 มีนาคม 2568 มีหนี้สินรวม 1,130.5 ล้านบาท ลดลง 217.25 ล้านบาท จาก 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งมีหนี้ 1,347.84 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ชำระหนี้หุ้นกู้ก่อนกำหนด 90 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 กถมภา 2568 และชำระหนี้สถาบันการเงินจากการปลอดจำนองเมื่อโอนบ้านให้ลูกค้า ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลงในระยะต่อจากนี้

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคต บริษัทฯ จึงเร่งวางกลยุทธ์สู่การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ให้สอดรับกับเป้าหมายที่พร้อมก้าวสู่การพัฒนาและยกระดับโครงการสู่ UPPER CLASS เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ High-End สู่การสร้างการเติบโตระดับ High Growth ในอนาคต

- 030