วันจันทร์ ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
รายงานพิเศษ : โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีปัญหา หากไม่แก้ไข GDP จะโตต่ำกว่า 2% อย่างถาวร

รายงานพิเศษ : โครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีปัญหา หากไม่แก้ไข GDP จะโตต่ำกว่า 2% อย่างถาวร

วันจันทร์ ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.
Tag : รายงานพิเศษ
  •  

**เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 ได้รับแรงส่งหลักจากภาคการท่องเที่ยวมาโดยตลอดตามฐานการท่องเที่ยวที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงการระบาดของโควิด แต่หากไม่นับรวมการท่องเที่ยว จะพบว่าเศรษฐกิจไทยในส่วนที่เหลือหดตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 และกลับมาโตเป็นบวกเล็กน้อยแตะระดับ 0% ในช่วง 2 ไตรมาสล่าสุด การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ติดลบต่อเนื่องสะท้อนว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆของไทยที่ไม่รวมการท่องเที่ยว เช่น ภาคอุตสาหกรรม หรือเศรษฐกิจในประเทศอาจเรียกว่าอยู่ในภาวะถดถอยไปแล้ว ซึ่งสะท้อนความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยที่มีมาอยู่ก่อนแล้ว


ในปี 2568 สามเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยทั้งภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรกำลังมีแนวโน้มชะลอตัวลงพร้อมๆกัน คือ 

1.แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวกำลังจะหายไปในปีนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาข้อมูลสะท้อนว่าแนวโน้มการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวกำลังชะลอตัวลงอย่างมีนัยยะสำคัญโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาและนิยมไปเที่ยวประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น แทนการมาท่องเที่ยวไทย ส่งผลให้การท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงส่งหลักทั้งหมดของเศรษฐกิจ (ประมาณ 2-3ppt) ในช่วงปี 2565-2567 จะเริ่มไม่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยมากนักในปีนี้ โดยประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 36.2 ล้านคนเทียบกับปีก่อนที่ 35.6 ล้านคน หรือโตขึ้นเพียง 6 แสนคนเท่านั้น และมีความเสี่ยงจะลดลงได้

2.ภาคอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่อยู่ในทิศทางติดลบมาโดยตลอดอยู่แล้วโดยหดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยนักวิเคราะห์หวังว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้บ้างในปีนี้ แต่การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมที่ทำให้เห็นการฟื้นตัวได้ยากซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก

3.ภาคเกษตรมีแนวโน้มชะลอตัว สะท้อนจากข้อมูลการส่งออกภาคเกษตรที่หดตัวลงแรงโดยเฉพาะข้าวหลังอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวได้ในปีนี้ โดยการส่งออกข้าวขาวติดลบเกือบ 30% ในช่วงไตรมาสแรก รายได้ที่ชะลอตัวลงในภาคเกษตรจะส่งผลต่อเนื่องให้การบริโภคในประเทศชะลอลง

เมื่อ 3 ภาคเศรษฐกิจที่ชะลอลงพร้อมกันเป็นความเสี่ยงสำคัญที่เราอาจเห็นเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โตได้ต่ำลงเรื่อยๆ และสะท้อนว่าการชะตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ได้เกิดจากนโยบายภาษีเป็นเรื่องสำคัญเรื่องเดียว

ทั้งนี้เศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วได้รับผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าเพิ่มเติม ประเมินว่าในที่สุดระดับภาษีที่สหรัฐฯ คิดกับไทยและประเทศอื่นๆในโลกจะค้างอยู่ที่ระดับ 10% ภายใต้ข้อสมมติว่าเราเจรจากับสหรัฐให้ลดอัตราภาษีนำเข้าลงมาได้ ในขณะที่อัตราภาษีนำเข้ากับจีน ที่เริ่มมีการตกลงเบื้องต้นเพื่อลดภาษีนำเข้าลงมาได้แล้ว และน่าจะอยู่ในระดับที่สูงว่าประเทศอื่น ภายใต้สถานการณ์นี้ผลกระทบจากภาษีต่อไทยจะเกิดขึ้นผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ การให้ข้อแลกเปลี่ยนทางการค้าโดยเปิดตลาดของสินค้าบางกลุ่มให้กับสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากภาวะการค้าโลกและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงต่อการส่งออกไทย

ผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกไปสหรัฐฯ ในกรณีที่มีการขึ้นภาษี 10% ต่อสินค้าส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ ประเมินว่า GDP ไทยอาจได้รับผลกระทบติดลบประมาณ 0.15% การให้ข้อแลกเปลี่ยนในระหว่างการเจรจาอาจกระทบเศรษฐกิจบางภาคส่วน หากสหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดในภาคเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะหมู เนื้อวัว และนม จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดย GDP ภาคเกษตรมีสัดส่วน 8-9% และหมู-ไก่ 1.3% แต่ภาคเกษตรยังคงมีบทบาทในการจ้างงานในชนบทอย่างกว้างขวางโดยคิดเป็นกว่า 31% ของการจ้างงานทั้งหมด และผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประเมินว่าในอดีต ทุกๆ การลดลงของ GDP โลก 1% จะส่งผลให้ GDP ไทยลดลงประมาณ 0.6% และความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยจากประเด็นสงครามการค้าในปี 2568 ยังคงเอียงไปทางด้านลบ หากการเจรจาล้มเหลวและสหรัฐฯกลับมาเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 36% หลังครบกำหนดผ่อนผัน 90 วัน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวต่อเนื่อง ประเมินว่า GDP ไทยในปี 2568 อาจลดลงต่ำสุดเหลือเพียง 0.9%

ประเมินภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตจากข้อมูลเศรษฐกิจในฝั่งอุปทานว่าค่อนข้างยากที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยกลับไปเติบโตที่ 3% แม้จะไม่มีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯก็ตาม เพื่อที่จะรักษาระดับการเติบโตของเศรษฐกิจให้ใกล้เคียง 3% สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น คือ ในกรณีแรก ภาคการท่องเที่ยวจะต้องขยายตัวมากถึงปีละประมาน 7-10 ล้านคน เหมือนช่วงที่จีนเข้ามาท่องเที่ยวไทยใหม่ๆ หรือจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังไทยต้องขยายตัวไปถึงประมาน 70 ล้านคน ในปี 2573 เพื่อชดเชยกับภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง ในกรณีสอง ภาคการผลิตไทยต้องกลับไปเติบโตเฉลี่ยปีละประมาน 5% เหมือนในช่วงปี 2543 ก่อนที่การท่องเที่ยวจะขยายตัวก้าวกระโดด ซึ่งเป็นไปได้ยากเมื่อพิจารณาการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในช่วงหลังโควิดที่โตได้เฉลี่ยเพียง -0.59% ต่อปี ในกรณีสุดท้าย การใช้ภาคเกษตรเป็นตัวนำทางเศรษฐกิจ ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เพราะมีขนาดที่เล็กเกินไปเพียงประมาน 8% ของ GDP นอกจากนี้ในปัจจุบันการส่งออกในภาคเกษตรที่เติบโตติดลบในปี 2568 เนื่องจากข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับข้าวอินเดียได้

ภาคต่างประเทศที่อ่อนแอลงกลับมาเป็นคำถามว่าไทยพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศแทนได้หรือไม่ โดยช่วงที่ผ่านมาสินเชื่อภาคธนาคารปรับตัวแย่ลงมาอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ 1.หนี้เสียในภาคธนาคารปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยและ SME  ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจ 2.หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงส่งผลให้ Balance sheet ของภาคครัวเรือนในปัจจุบันอยู่ในสถานะอ่อนแอและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3.อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันไม่เป็นระดับที่ผ่อนคลายและสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อ

ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย 3 ข้อ คือ 1.นับตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปจะเป็นปีที่ไม่เหลือแรงส่งให้เศรษฐกิจเติบโตได้อีกแล้วและยากที่แต่ละ Sector จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการเติบโตทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีต จะทำให้ GDP โตต่ำกว่า 2% 2.ปัญหาของภาคเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยระยะสั้นเช่นภาษีของ Trump ที่จะทยอยดีขึ้นเอง (เช่น หากมีการเจรจาการค้าสำเร็จ) แต่เป็นภาพสะท้อนปัญหาระยะยาว  3.เศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอจากหนี้ครัวเรือนในขณะที่โลกกำลังผ่านจุดสูงสุดของโลกาภิวัฒน์ทำให้ไทยไม่เหลือแรงส่งจากทั้งในและต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กลับมาเป็นคำถามต่อผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของไทยว่า เศรษฐกิจไทยจะโตต่อไปได้อย่างไรในช่วงหลังจากนี้

ประเมินว่าภาครัฐต้องไม่ยึดติดกับการทำนโยบายแบบเดิม ๆ และควรต้องมีการประสานด้านนโยบาย ตัวอย่างที่น่าสนใจคือบทเรียนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ภายใต้แนวคิด Abenomics เพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างยืดเยื้อถูกจัดวางภายใต้กรอบ “ลูกศรสามดอก” อันประกอบด้วยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายที่เน้นเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ นโยบายการคลังแบบขยายตัว และการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ บทเรียนของญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีความครบถ้วนทั้งในมิติของระยะสั้นและระยะยาว และต้องมีทั้งนโยบายด้านอุปสงค์และนโยบายด้านโครงสร้าง การใช้นโยบายการเงินหรือการคลังเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของเศรษฐกิจได้ หากขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่กันไป

** KKP Research **

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • รายงานพิเศษ : \'ทรัมป์\' ทำเศรษฐกิจปั่นป่วนทั่วโลก ไทยรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า รายงานพิเศษ : 'ทรัมป์' ทำเศรษฐกิจปั่นป่วนทั่วโลก ไทยรับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า
  • รายงานพิเศษ : SETHD Index: ดัชนีหุ้นปันผล อีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล รายงานพิเศษ : SETHD Index: ดัชนีหุ้นปันผล อีกหนึ่งมุมมองในการเลือกลงทุนในหุ้นปันผล
  • รายงานพิเศษ : ผลจากภาษีสหรัฐ...กดจีดีพีไทยเหลือแค่ 1.5% นโยบายการเงินต้องช่วย...รัฐบาลต้องเจรจาให้สำเร็จ รายงานพิเศษ : ผลจากภาษีสหรัฐ...กดจีดีพีไทยเหลือแค่ 1.5% นโยบายการเงินต้องช่วย...รัฐบาลต้องเจรจาให้สำเร็จ
  • รายงานพิเศษ : สหรัฐฯขึ้นภาษี...ส่งออกไทยโดน2เด้ง ฉุดจีดีพีปี2568ต่ำกว่าประมาณการ รายงานพิเศษ : สหรัฐฯขึ้นภาษี...ส่งออกไทยโดน2เด้ง ฉุดจีดีพีปี2568ต่ำกว่าประมาณการ
  • รายงานพิเศษ : EXIM BANK ช่วย SMEs รับมือค่าเงินผันผวน  ออกสินเชื่อเสริมสภาพคล่องและปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน รายงานพิเศษ : EXIM BANK ช่วย SMEs รับมือค่าเงินผันผวน ออกสินเชื่อเสริมสภาพคล่องและปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
  • รายงานพิเศษ : เมื่อแบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ...  นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องดิ้นหาช่องระบายสต๊อก รายงานพิเศษ : เมื่อแบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ... นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต้องดิ้นหาช่องระบายสต๊อก
  •  

Breaking News

‘แพทย์ชนบท’เตือนผู้ชายสังเกตอาการ ย้ำ‘มะเร็งต่อมลูกหมาก’ตรวจพบเร็วรักษาหายได้

‘ชูศักดิ์’บอกพรุ่งนี้รู้ รมต.คนไหนคุม‘ดีเอสไอ’แทน‘ทวี’

นายกฯถกบอร์ดกระตุ้นศก. ยอมรับ'ภาษีสหรัฐฯ'กระทบหลายประเทศทั่วโลก

โปรดเกล้าฯ ข้าราชการ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พ้นจากตำแหน่ง

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved