เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Thailand - US Trade & Investment Summit 2025 ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ ซึ่งจัดโดย ความร่วมมือของหอการค้าไทย หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) และหอการค้าสหรัฐอเมริกา (U.S. Chamber of Commerce) โดยมีผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน นักลงทุน และนักธุรกิจจากทั้งสองประเทศเข้าร่วมกว่า 300 คน
นายพิชัย รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดย GDP ไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัว 3.1% ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนมีมูลค่าคำขอรับส่งเสริมจาก BOI รวม 431,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 97% และการส่งออก 3 เดือนแรกของปีนี้ เติบโตโดดเด่นถึง 15.2% และโดยเฉลี่ยตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2567 การส่งออกไทย 6 เดือน ขยายตัว 12.9% และตัวเลขการส่งออกเดือนเมษายนที่จะแถลงในวันจันทร์หน้า(26 พ.ค.68) ยังเติบโตต่อเนื่อง แม้จะมีความกังวลเรื่องมาตรการภาษีของสหรัฐ
สำหรับการท่องเที่ยวยังคงเติบโตได้ดีในแง่ของรายได้ ซึ่งปัจจุบัน ไทยมุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ รายได้สูง และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี ไทยยังเผชิญกับความท้าทายในเรื่องของหนี้สินครัวเรือนและปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งหากสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อความท้าทายจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ที่อาจกระทบต่อภาคการส่งออก ไทยได้มีความพยายามที่จะหารือร่วมกับสหรัฐฯ ในเวทีต่าง ๆ โดยได้จัดตั้ง คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เพื่อประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม ไทยได้ยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายต่อ USTR อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ซึ่งได้รับการตอบรับเชิงบวกจากนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยได้เสนอแนวทางสำคัญ เช่น เสริมความร่วมมือในสาขาอาหารแปรรูป ดิจิทัล ดาต้าเซ็นเตอร์ และ AI ขยายการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น พลังงาน สินค้าเกษตร และชิ้นส่วนอากาศยาน เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า แก้ไขมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า และส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ
สำหรับ ข้อเสนอดังกล่าวได้ถูกหารือเพิ่มเติมกับนายจามิสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และนายเบสเซนต์ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคที่เกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ โดยทั้งสองฝ่ายแสดงความพร้อมในการขับเคลื่อนความร่วมมือผ่านการเจรจาระดับนโยบายที่กรุงวอชิงตันในอนาคตอันใกล้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังกล่าวเชิญชวนนักลงทุนสหรัฐฯ ขยายการลงทุนในไทย โดยฐานการลงทุนอุสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีศักยภาพด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะพลังงานที่มั่นคง ซึ่งเอื้อต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรพิมพ์ (PCB) ดาต้าเซ็นเตอร์ ชิ้นส่วนสำหรับประกอบ AI และยานยนต์อัจฉริยะ รวมถึงสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่รองรับความต้องการของตลาดในอนาคต
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยืนยันความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็ง และส่งเสริมความร่วมมือกับสหรัฐฯ บนพื้นฐานของความสมดุลและผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อเติบโตไปด้วยกัน พร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ ที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งที่ผ่านมา สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน โดยในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างกันสูงกว่า 74,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกไปสหรัฐฯ คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมด ขยายตัว 13.6% สะท้อนความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยภายในงาน Thailand - US Trade & Investment Summit 2025 ยังมี นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค (H.E. Mr. Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) นายจอห์น โกเยอร์ รองประธานฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนียหอการค้าสหรัฐอเมริกา (U.S. Chamber of Commerce) ร่วมด้วย
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี