วันพุธ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
‘ทุน-สินค้าจีน’บุกไทย! แนะรัฐเข้ม‘มาตรฐาน-โปร่งใส’เปลี่ยนแรงต้านสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ

‘ทุน-สินค้าจีน’บุกไทย! แนะรัฐเข้ม‘มาตรฐาน-โปร่งใส’เปลี่ยนแรงต้านสู่โอกาสทางเศรษฐกิจ

วันอังคาร ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 16.04 น.
Tag : โรงงานจีน มาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ชุดสุดซอย สินค้าจีน ทุนจีน อาชนันเกาะไพบูลย์
  •  

27 พ.ค. 2568 รศ.ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในประเด็นกระแสต่อต้านทุนจีนและสินค้าจีนที่เข้ามาในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นอย่างมากในสื่อสังคมออนไลน์ ว่า เรื่องนี้ต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนที่ต้องแยกออกมาทำความเข้าใจ คือ 1.การค้า (Trade) คือนำเข้าส้นค้า ซึ่งจริงๆ ไทยก็นำเข้าสินค้าจากจีนอยู่มาก เพราะตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) คือโรงงานประกอบ ส่วนจีนก็เป็นโรงงานผลิต (Manufacturing) ขนาดใหญ่ ชิ้นส่วนจากจีนจึงถูกนำเข้ามาประกอบในไทยเพื่อส่งออก

ซึ่งปัญหาเรื่องการนำเข้า คำถามแรกที่ต้องคิดคือเหตุใดจึงมาเกิดขึ้นในช่วงนี้? ทั้งที่จีนส่งสินค้าไปขายในตลาดโลก อีกทั้งตลาดภายในประเทศของจีนเองก็ใหญ่เพราะมีประชากรมาก (Economy of Scale) ถึงขั้นที่บางคนบอกว่าต่อให้จีนปิดประเทศซื้อ – ขายกันเองก็อยู่ได้ ดังนั้นก็น่าจะมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ในประเทศไทยเองด้วยที่ทำให้เราสู้เขาไม่ได้ ซึ่งตนเชื่อว่าเชื่อมโยงกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และผลกระทบที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยไม่มีแรงที่จะต่อสู้


โดยหากไปดูตัวเลขปริมาณสินเชื่อที่เข้าระบบสินเชื่อภายในประเทศที่ให้แก่ภาคเอกชน (Private Domestic Credit) ของประเทศไทย มีลักษณะเป็นเส้นตรงขนานแกนนอน หรือแบนราบ (Flat) ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา กล่าวคือ สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 หากไม่นับปี 2563 ซึ่งปีนั้นจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยมีไม่มากนัก แต่สถานการณ์มารุนแรงในปี 2564 ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากและต้องล็อกดาวน์กันเกือบตลอดทั้งปี เมื่อระบบสินเชื่อนิ่ง ก็เท่ากับเม็ดเงินจากสินเชื่อที่ไหลเข้าสู่กิจการต่างๆ ให้พวกเขามีแรงสู้ต่อไปได้นั้นย่อมลดลง

“นั่นคือเส้นเลือดใหญ่ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยอ่อนแอ แล้วเวลาเจอแบบนี้ก็เหมือนกับลองคิดสภาพว่าเราทำของแข่งกับเขาแล้วเราเจอของถูก วิธีสู้อย่างหนึ่งคือเราหยุดทำของเราบางส่วน เอาของเขามาต่อยอดแล้วดัดแปลงของขาย แต่วันนี้อาการไม่เกิดขึ้นอย่างนี้ ผมเข้าใจว่าส่วนหนึ่งผู้ประกอบการไทยอ่อนแอไม่มีแรงจะสู้ ไม่มีสายป่านจะสู้เลย” รศ.ดร.อาชนัน กล่าว

รศ.ดร.อาชนัน กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยรับมือสถานการณ์โควิด-19 ไม่ถูกวิธี ซึ่งตนไม่โทษใครเพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องใหม่ ทุกคนไม่รู้แล้วก็มองไปว่าเหมือนกับวิกฤติครั้งก่อนๆ เช่น วิกฤติต้มยำกุ้ง มีการพูดกันไปว่ามีโอกาสในวิกฤติ แต่ก็พูดกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ช่วยอะไร ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่เศรษฐกิจไทยไม่ฟื้นตัวทั้งที่สถานการณ์โรคระบาดผ่านพ้นไปแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราไปช่วยกิจการที่ไปไม่รอดแล้ว ในขณะที่กิจการที่ยังอยู่นั้นไม่ได้รับความช่วยเหลือ ผลคือกิจการกลุ่มหลังนี้ก็มีแต่จะตายลงไปเรื่อยๆ

โดยหากแบ่งกิจการขนาดเล็ก (S) และขนาดกลาง (M) ออกจากกัน ในขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางจะมีแรงงานประมาณหลักร้อยคน กลุ่มนี้การปิดกิจการทำได้ลำบากแต่จะอยู่ต่อไปก็เหนื่อยเพราะต้องอุ้มค่าใช้จ่าย แต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กมีอะไรเกิดขึ้นก็สามารถปิดกิจการได้ก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่ การตายแล้วเกิดใหม่ของกิจการขนาดเล็กสามารถทำได้ง่ายกว่า

ดังนั้นในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 กิจการขนาดเล็กจึงออกไป ส่วนกิจการขนาดกลางยังติดค้างอยู่ ต้องยอมกลืนเลือดโดยหวังว่าในอนาคตอันใกล้จะดีขึ้น แต่เราไม่ได้ช่วยกิจการกลุ่มหลังนี้ จึงเข้าทำนองเตี้ยอุ้มค่อม เมื่อบวกกับสถานการณ์เศรษฐกิจในจีนที่เกิดฟองสบู่แตก ซึ่งต้องเข้าใจว่าจีนเป็นวิถีคอมมิวนิสต์ เมื่อเกิดวิกฤติขึ้นสิ่งแรกที่ผู้คนจะทำคือรัดเข็มขัดลดการบริโภคลง ผลคือสินค้าที่ผลิตในจีนเกิดภาวะล้นตลาด จึงทะลักออกมานอกประเทศ

คำถามที่ตามมาคือแล้วสินค้าจีนทะลักไปไหน? หากดูในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ใช้ภาษีเป็นเกณฑ์ สิ่งที่ควรจะเป็นคือสินค้าจีนน่าจะต้องไหลไปสิงคโปร์และมาเลเซียมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงกลับไปพบมากในอินโดนีเซีย ไทย เวียดนามและฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจทำให้ผู้คนในประเทศเหล่านี้เปลี่ยนรสนิยมในการบริโภคสินค้า เน้นราคาถูกเข้าว่าโดยยอมมองข้ามคุณภาพ อย่างในกรณีของไทย ผู้ประกอบการอ่อนแอส่วนหนึ่ง ผู้บริโภคก็ไม่ไหวอีกส่วนหนึ่ง

โดยเหตุที่สิงคโปร์ไม่พบสถานการณ์แบบเดียวกับไทย เพราะวิธีช่วยเหลือในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 คือการพยายามประคองกิจการที่ยังดิ้นรนต่อสู้อยู่ไม่ให้ปิดตัวลง ซึ่งเมื่อผู้ประกอบการมั่นใจว่าภาครัฐพร้อมช่วยประคอง ก็จะเริ่มคิดว่าแล้วในส่วนของตนเองจะทำอย่างไรได้บ้างให้กิจการอยู่รอด ต่างจากไทยที่ภาครัฐมุ่งไปช่วยกิจการที่ไม่รอดแล้ว ผลคือมีเสียงร่ำลือกันว่าหลายกิจการเถ้าแก่กับลูกน้องรวมหัวกันแกล้งทำเป็นปิดตัวแต่ไม่ไดแยกย้ายไปไหน เพื่อให้ลูกน้องเข้าข่ายได้รับสิทธิ์ประกันการว่างงานจากประกันสังคม   

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือ 2.การลงทุน (Invest) มีทุนจีนหลั่งไหลออกมาในลักษณะของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แล้วเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย ที่เป็นแบบนี้เพราะสถานการณ์ภายในประเทศจีน ประชาชนกังวลกับระบอบการปกครองที่ไม่แน่นอน โดยหากย้อนไปดูสมัยเติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำสูงสุดของจีน ต้งแต่นั้นมาทิศทางของจีนค่อนข้างชัดเจนว่าเริ่มหันเข้าหาตะวันตก เช่น เปิดเสรีทางการค้า อนุญาตให้ปัจเจกชนถือครองทรัพย์สิน ใครขยันทำมาหากินก็สามารถมีฐานะร่ำรวยขึ้นมาได้    

แต่ ณ ปัจจุบันกลับเริ่มมีจุดเปลี่ยน เริ่มมองเห็นความไม่แน่นอน อย่างประธานสภาหอการค้ายุโรปในจีนก็ยังเคยออกมาพูดว่าสถานการณ์ของจีน ณ เวลานี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว โดยก่อนหน้านี้ค่อนข้างอะลุ้มอล่วย เกิดปัญหาขึ้นเมื่อพูดคุยกับรัฐก็พยายามแก้ไขกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่สถานการณ์ปัจจุบันเริ่มคาดเดาได้ยากขึ้น หรืออย่างกรณีของ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีชาวจีนเจ้าของบริษัทอาลีบาบา อยู่ดีๆ ก็หายตัวไป เหตุการณ์แบบนี้หมายถึงอะไร แบบนี้คนเป็นนักลงทุนก็งง รวมถึงชาวจีนเองก็งง

“คนที่เคยผ่าน 2 ระบบมา เขารู้ว่าถ้ากลับไประบบเดิมมันเป็นอย่างไร ดังนั้นคนจีนก็จะแห่ออกมาระดับหนึ่ง แห่ออกมาถามว่าผิดไหม? เขาแห่ออกมาไม่ผิด แต่เราเองเรารับมือกับการแห่ออกมาอย่างไร? เรา Treat (ดูแล) เขาอย่างไร?  แล้วเรามีช่องโหว่ทางกฎหมายไหม? เราทำให้เขาได้เปรียบคนไทยหรือเปล่า? อย่างเช่นเขามาแล้วเราไปตื่นเต้นกับ Volume (ปริมาณ) ใหญ่ๆ โดยที่ลืมนึกไปว่ากระบวนการผลิตมันไม่มีอะไรเลย อย่างนี้เราขันน็อตตรงนี้ได้ไหม? ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันเป็นปัญหาอยู่ที่เราแล้วว่าเราจะ Manage (บริหารจัดการ) เรื่องนี้อย่างไร?” รศ.ดร.อาชนัน ระบุ

รศ.ดร.อาชนัน ยังกล่าวอีกว่า อย่างการก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คำถามคือทางการไทยได้ตรวจสอบกิจการเหล่านี้อย่างไรว่ามีการผลิตจริงมาก – น้อยเพียงใด หากตรวจโดยวิธีการให้หน่วยงานหนึ่งเข้าไปตรวจโรงงาน เห็นมีแม่พิมพ์ เห็นเครื่องยังอุ่นๆ อยู่ แต่ไม่รู้เรื่องเอกสาร (Paperwork) ว่าโรงงานนั้นมีกระบวนการผลิตอย่างไร ขณะที่อีกหน่วยงานหนึ่งไปตรวจตามจุดหรือด่าน (Checkpoint) แล้วเขียนเอกสารขึ้นมา แต่ทั้ง 2 หน่วยงานไม่ได้คุยกัน แบบนี้คือความผิดพลาด

โดยสรุปแล้วทางออกของเรื่องนี้ หากเป็นเรื่องการค้าต้องไปดูเรื่องสินเชื่อ จะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการสู้ต่อไปได้ และไม่ใช่สินเชื่อแบบพึ่งพาธนาคารเพียงอย่างเดียว อย่างที่ในอดีตประเทศไทยเคยมีการให้สินเชื่อพร้อมเงื่อนไขการปรับโครงสร้าง ผ่านกลไกของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) ตนมองว่าต้องฟื้นแนวทางดังกล่าวกลับมาเพื่อแก้ปัญหา แม้จะช้าไปแล้ว มีคนเจ็บคนตายแล้ว แต่เริ่มตอนนี้ก็ยังดีกว่าไม่เริ่ม นอกจากนั้นต้องเข้มงวดเรื่องมาตรฐานอุตสาหกรรม เพราะของราคาถูกมักมาพร้อมกับปัญหาเรื่องคุณภาพ

ส่วนเรื่องการลงทุน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปตรวจสอบ เช่น จดทะเบียนอย่างไร จ้างแรงงานอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องคนไม่ใช่สิ่งที่จะแอบซ่อนได้ง่าย อย่างที่มีเสียงร่ำลือกันว่ามีการนำพาชาวจีนเข้ามาทำงานในไทยกันเป็นจำนวนมากๆ เรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้หากมีการลงพื้นที่อย่างจริงจัง ดังตัวอย่างของ “ชุดสุดซอย” ที่เป็นทีมงานของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ไปตรวจสอบโรงงานที่ผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งสามารถขยายผลให้ทำงานในหลายมิติได้ แต่ต้องทำให้รวดเร็วและโปร่งใส

เพราะหากนักลงทุนเข้ามาประกอบกิจการอย่างถูกต้อง สำหรับแรงงานก็เพียงแต่ย้ายโรงงาน ในอดีตเคยมีเถ้าแก่เป็นคนไทยบ้าง คนญี่ปุ่นบ้าง ก็เปลี่ยนเป็นไปอยู่กับโรงงานจีน แบบนี้แรงงานก็ไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย และตรงนี้อยู่ที่บทบาทของภาครัฐซึ่งต้องทำให้ดี อนึ่ง ตนยกตัวอย่างการจัดเก็บข้อมูล เคยเข้าไปดูข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ระบุว่ามีการลงทุนจากจีนเข้ามาจำนวนมาก แต่มีข้อสังเกตว่ามากถึงร้อยละ 97 ไปอยู่ในหมวดอื่นๆ ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าคืออะไร

โดยการแกะรอยทุนจีนที่ตนทำนั้นจะใช้ข้อมูล 2 แหล่ง ซึ่งอีกแหล่งคือ Financial Times ที่ว่าด้วยการจดทะเบียนโรงงาน ในส่วนนี้พบกิจการที่ทุนจีนมาจดทะเบียนในไทยมากที่สุดคือ ยาง อสังหาริมทรัพย์ สื่อสารและโลหะ ซึ่งแหล่งข้อมูลหลังนี้ตนยังนำไปเปรียบเทียบข้อมูลการจดทะเบียนโรงงานใหม่ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้วพบว่าสอดคล้องกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเริ่มจากจุดนี้ในการเข้าไปตรวจสอบ

เช่น บอกว่าเข้ามาตั้งโรงงานผลิตอาหาร แต่ไม่รู้ว่ากระบวนการผลิตอาหารให้คนบริโภคนั้นทำอย่างไร หรือเข้ามาตั้งโรงงานแล้วจ้างแรงงานอย่างไร จะเรียกว่าสีเทาหรืออะไรก็แล้วแต่ ในขณะที่โรงงานที่ทำกระบวนการผลิตให้ถูกกฎระเบียบกลับต้องแบกรับต้นทุนที่สูงกว่า เรื่องการหย่อนทางกฎหมายแล้วทำให้คนที่ทำไม่ถูกต้องเกิดความได้เปรียบ ต้องขันน็อตตรงนี้ขึ้นมา

แล้วทำกระบวนการตรวจสอบให้โปร่งใส ไม่ใช่รีดไถแต่ต้องการให้ทำถูกกฎหมาย ให้อยู่บนบรรทัดฐานเดียวกัน  ถ้าจะให้ดีเชิญเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนประจำประเทศไทยไปร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งหากทำแบบนี้ได้ปัญหาก็จะเบาลง โดยการแข่งขันที่อยู่บนบรรทัดฐานของความเป็นธรรมสิ่งที่รับได้เพราะผลประโยชน์จะตกอยู่กับผู้บริโภค แต่การแข่งขันที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้วัตถุดิบหรือเครื่องมือ – อุปกรณ์ที่อาจเป็นอันตรายกับผู้บริโภคเพราะเห็นว่ามีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง แบบนี้ไม่ถูกต้อง

ส่วนข้อกังวลที่ว่าหากทางการไทยเข้มงวดเรื่องมาตรฐานการผลิต จะสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีกับทางการจีนหรือไม่ เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการกีดกันทางการค้าโดยใช้มาตรการอื่นที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff Barriers) ตนคิดว่าหากทำบนมาตรฐานเดียวกัน แล้วใช้กรอบความร่วมมือ 50 ปีไทย – จีนให้ดี บอกว่าเรามาพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน และใช้มาตรฐานนี้กับทุกคน รวมถึงทำให้โปร่งใสที่สุด ซึ่งหากไทยทำแบบนี้ยังเท่ากับช่วยป้องกันปัญหาให้จีนด้วย

กล่าวคือ ทุกวันนี้ทุนจีนเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าส่งออกไปขายยังประเทศที่ 3 การตรวจสอบอย่างจริงจังและโปร่งใสจะช่วยแยกผู้ประกอบการที่ทำจริงออกจากผู้ประกอบการที่สวมสิทธิ์ ซึ่งปัจจุบันปัญหาการสวมสิทธิ์ยังไม่มีมาก ยังไม่เกินร้อยละ 5 ของการส่งออกทั้งหมด เพราะอย่างไรเสียการสวมสิทธิ์ก็มีต้นทุนในการดำเนินการ ดังนั้นจึงต้องมีแรงจูงใจมากพอให้ทำ

เช่น แผงโซลาร์เซลล์ของจีนที่ถูกสหรัฐอเมริกาตั้งกำแพงภาษีสูงเกิน 100% มาตั้งแต่ปี 2555 และไล่ตรวจสอบไปทั่ว กระทั่งในยุคที่ โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการผ่อนคลายให้บางประเทศในอาเซียนส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ไปขายในสหรัฐฯ ได้ จึงเกิดช่องให้มีการสวมสิทธิ์ ดังนั้นตามสถานการณ์ปัจจุบัน หากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง แรงจูงใจในการสวมสิทธิ์ก็จะยังไม่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง

ดังนั้นหากทางการไทยเอาจริงเอาจังเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ขจัดทุนที่เป็นกลุ่มสีเทาออกไป แล้วเชิญทุนจีนเข้ามาโดยบอกว่าเป็นหุ้นส่วน (Partner) กัน ยิ่งทำได้โปร่งใสเท่าไหร่ย่อมขจัดข้อครหาต่างๆ ได้ รวมถึงยังช่วยลบชื่อเสียงในทางไม่ดีของสินค้าจีนและสร้างภาพลักษณ์ (Good View) ที่ดีของจีนในสายตาชาวโลก ทำให้จีนมีโอกาสส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ได้ด้วย

“วันนี้สหรัฐฯ ลุกจากการเป็นพี่ใหญ่ของโลก คนที่มีศักยภาพที่จะขึ้นมาก็คือจีน ถ้ารัฐบาลเข้าใจเกมนี้แล้วเล่นบทบาทนี้ให้ดีควบคู่ไป บอกกับจีนว่าการเป็นพี่ใหญ่ที่ดีในภูมิภาคมันต้องแบ่งกัน การแบ่งกันก็คือของที่เราผลิต เราจะซื้อก็ต่อเมื่อมันได้คุณภาพที่ดี กินแล้วมันปลอดภัย ถ้าเราเอา Safety (ความปลอดภัย) เป็นตัวยืน มันก็นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ผมว่าถ้าเราเล่นในเรื่องนี้ออกไป ผมว่ามันน่าจะช่วยได้” รศ.ดร.อาชนัน กล่าวทิ้งท้าย

043...

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ดีพร้อมผนึกพันธมิตรหนุนน้ำมัน SAF ดันธุรกิจการบินสู่เป้าหมาย Net Zero ดีพร้อมผนึกพันธมิตรหนุนน้ำมัน SAF ดันธุรกิจการบินสู่เป้าหมาย Net Zero
  • อุตฯ จับมือ คมนาคม-SPI  จัด‘อุตฯแฟร์’ขายสินค้าราคาโรงงาน อุตฯ จับมือ คมนาคม-SPI จัด‘อุตฯแฟร์’ขายสินค้าราคาโรงงาน
  • รุกจัดงาน \'อุตตสาหกรรมแฟร์\' เล็งปั้นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เป็นแลนด์มาร์คงานแสดงสินค้า รุกจัดงาน 'อุตตสาหกรรมแฟร์' เล็งปั้นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เป็นแลนด์มาร์คงานแสดงสินค้า
  • อุตฯ จับมือ METI ขับเคลื่อนความร่วมมือพลังงาน-อุตสาหกรรม อุตฯ จับมือ METI ขับเคลื่อนความร่วมมือพลังงาน-อุตสาหกรรม
  • ลุยยกระดับอุตฯดิจิทัลไทยสู่ระดับสากล ลุยยกระดับอุตฯดิจิทัลไทยสู่ระดับสากล
  • อุตฯตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพกำกับ มอก. อุตฯตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพกำกับ มอก.
  •  

Breaking News

‘นายกฯ’สั่ง‘กองบินตำรวจ’เร่งสำรวจสถานะอากาศยานทุกลำ

'อนุทิน'เด้งรับ แนวทาง 'พ่อนายกฯ'ปราบยาเสพติด ทุกฝ่ายต้องไม่เกี่ยงงานกัน ถ้าเจอซึ่งหน้าต้องฟาด

บึ้มสนั่นโตเกียว! ถังแก๊สระเบิดในไซต์ก่อสร้าง บาดเจ็บนับสิบ-บ้านพังยับกว่า40หลัง

มิชชั่น เฟล!‘พันธุ์ใหม่’ยกมือกราบขออภัยปชช. ยุติล่าชื่อชง‘สว.’หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะส่วน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved