วันเสาร์ ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / โลกธุรกิจ
บทความพิเศษ : พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย : ดึงดูด ‘Global Talent’  ยกระดับตลาดแรงงานยุค Multi-Polar

บทความพิเศษ : พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย : ดึงดูด ‘Global Talent’ ยกระดับตลาดแรงงานยุค Multi-Polar

วันศุกร์ ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 06.48 น.
Tag : พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย ตลาดแรงงาน บทความพิเศษ
  •  

“เรากำลังย้ายจากยุคของทุนนิยม (capitalism) ไปสู่ยุคของศักยภาพนิยม (Talentism)” Klaus Schwab ผู้ก่อตั้ง WEF

คำกล่าวของ Klaus ข้างต้น อาจขยายความได้ว่า ปัจจัยการแข่งขันที่สำคัญจะไม่ใช่ต้นทุนต่ำหรือการมีทุนแต่คือความสามารถการสร้างสรรค์นวัตกรรมของมนุษย์”


“Talent” จึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญในสมการนี้

“Tech Pass” วีซ่าใหม่ของสิงคโปร์ ที่ดึงดูดบรรดา “อัจฉริยะด้านเทคโนโลยี” และ “ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ”ไม่เพียงตอกย้ำสิงคโปร์ให้ “เนื้อหอม” ของการเป็นฮับด้านเทคโนโลยีของภูมิภาคอาเซียน ทว่า ยิ่งช่วยยกระดับเศรษฐกิจสิงคโปร์ให้ “คึกคัก-มีสีสัน”

ข้ามฝั่งไปยังตะวันออกกลาง “ดูไบ” ก็ออกวีซ่าดึงดูด “Global Talent” เช่นเดียวกัน หรือที่รู้จักในนาม“วีซ่าทองคำ” (Gloden Visa) สำหรับผู้ประกอบการระดับ “เชี่ยวชาญ” และ “นักลงทุน” พวกเขาได้รับสิทธิประโยชน์หลายอย่าง อาทิ “Full Business Ownership” หรือ สิทธิการเป็นเจ้าของกิจการอย่างเต็มรูปแบบ หรือ การต่ออายุการพำนักได้ถึง 10 ปี โดยอิสระ เป็นต้น

เอสโตเนีย เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ออกนโยบาย “E-Residency” และ “Digital Nomad Visa” เพียง 3 ปีก็สามารถดึงดูดสตาร์ทอัพกว่า 5,000 รายสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 100 ล้านยูโรต่อปี

สิงคโปร์ และดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเอสโตเนีย เป็นสามในหลายประเทศ รวมถึงโปรตุเกส กรีซ ที่เข้าใจการแข่งขันของโลกในศตวรรษที่ 21 (Multi-Polar Era) โลกที่การแข่งขันไม่ได้อยู่เพียง “เงินทุน”หรือ “ภูมิรัฐศาสตร์” อีกต่อไป ทว่าคือการแข่งขันลงทุนในสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือ “คนเก่งระดับโลก” หรือ “Global Talent” กอปรกันไปกับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านของโลกที่มุ่งสู่เทคโนโลยีและเอไอ

ถ้าเปรียบเป็นกีฬา ก็นับว่าไม่ใช่การค้าแข้งธรรมดา แต่เป็นการสูบฉีดล่วงหน้าด้วย “วีซ่า ภาษี คุณภาพชีวิต และธุรกิจ” (Talent Strategy) ล้อไปด้วยกัน

สิ่งเหล่านี้นับเป็น “เทรนด์” ที่น่าสนใจ ที่ “ไทย” เราควรพิจารณาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเมื่อพิจารณารายได้ของประเทศจากการจัดเก็บภาษี ที่ค่อนข้างท้าทาย หรือพูดง่ายๆ ฐานเรายัง “แคบ”
อยู่ โดยพบว่า ประเทศไทยมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน แต่มีผู้ยื่นแบบแสดงรายได้ไม่ถึง 11 ล้านคน และมีผู้ที่“จ่ายจริง” (Net Taxpayer) ราว 3 ล้านคนเท่านั้น เทียบกับสิงคโปร์ซึ่งมีประชากรราว 5.6 ล้านคน แต่มีผู้เสียภาษีรายได้มากกว่า 2 ล้านคน เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตัวเลขนี้จะยิ่ง “สูง และสอดคล้อง” กับสัดส่วน “GDP” ที่มาจากภาษีบุคคลธรรมดา

"วีซ่าสำหรับ ‘อัจฉริยะด้านเทคโนโลยี’ และ ‘ดิจิทัลโนแมด’ (Digital Nomad/Tech Talent Visa) ที่สมัครง่าย พำนัก และทำงานระยะยาวได้อย่างถูกกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในสายงานเทคโนโลยีข้อมูล และดิจิทัล"

การดึงดูด “คน” ไม่เพียงเป็นคำตอบสำหรับสนามการแข่งขันของโลกปัจจุบันตามที่ผมได้จั่วหัวไว้ แต่เรายังสามารถยกระดับเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะสามารถ
เพิ่มได้หลายแสนล้านบาทต่อปี เงินเหล่านี้ยังอาจช่วยลดภาษีคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย-ปานกลาง นำไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ในภาพรวมได้ไม่น้อย

ลองคิดดูว่า หากไทยสามารถดึงดูด “Global Talent” ได้เพียง 50,000 คน ภายใน 5 ปีแรก และหากพวกเขาจ่ายภาษีเฉลี่ยคนละ 300,000 บาทต่อปี เท่ากับเราจะสามารถจัดเก็บภาษีใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 15,000 ล้านบาท โดยไม่เพิ่มภาระกับประชาชนคนไทย และลองคิดดูว่าหากดึงดูดมาได้ 5 ล้านคน จะเกิดอะไรขึ้น?

เพื่อให้เป็นรูปธรรม ผมใคร่ขอเสนอ5 สิ่ง เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันได้อย่างแท้จริง โดยหลายส่วนจำเป็นต้องเร่งปรับทั้งกฎหมาย ระบบภาษี สร้าง“แม่เหล็กดึงดูด” อัจฉริยะโลกเหล่านั้นมาลงทุน หรือทำงานที่ประเทศไทย

1.วีซ่าสำหรับ “อัจฉริยะด้านเทคโนโลยี” และ “ดิจิทัลโนแมด” (Digital Nomad/Tech Talent Visa) ที่สมัครง่าย พำนัก และทำงานระยะยาวได้อย่างถูกกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในสายงานเทคโนโลยีข้อมูล และดิจิทัล

2.อัตราภาษีอัจฉริยะ (Smart Tax Rate) โดยขอเสนอให้ใช้ระบบภาษีอัตราคงที่ (Flat Rate) อาทิ จัดเก็บอยู่ที่ร้อยละ 15 เพื่อจูงใจชาวต่างชาติ มากกว่าระบบภาษีก้าวหน้า (Progressive Tax) ซึ่งอาจเป็นการจัดเก็บภาษีที่ถูกกว่าประเทศต้นทาง และต้องไม่เพิ่มภาระทางภาษีให้กับคนไทย

3.บริการครบ จบในที่เดียว (One-Stop Service) กระตุ้นให้มีหน่วยงานที่ให้บริการสำหรับการจดทะเบียน และให้ใบอนุญาตจัดตั้งบริษัท หรือสตาร์ทอัพ ครบจบในที่เดียว เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ไม่เป็นอุปสรรคของการลงทุน หรือการโยกย้ายถิ่นฐาน

4.สิทธิด้านสุขภาพ และการเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานเทียบเท่าคนไทยเองเป็นฮับ และมีสมรรถนะสูงด้านการให้บริการสุขภาพอยู่แล้ว ปัจจุบันมีชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยมารักษาพยาบาลที่ไทย การให้สิทธิด้านสุขภาพที่เทียบเท่ากับคนไทย ย่อมดึงดูด “Global Talent” ให้หมดความกังวลเรื่องสุขภาพ

5.จัดตั้งโปรแกรมสนับสนุนการปรับตัวในประเทศไทย (Soft Landing & Community Integration) มีระบบรองรับทั้งภาษา วัฒนธรรม และเชื่อมโยงกับชุมชนธุรกิจในไทย เพื่อให้ขยาย “เครือข่าย” ทางเศรษฐกิจอย่างเข้มข้นมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากการสนับสนุน “ดึงดูด” ผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพสูงข้างต้นแล้ว การลงทุน “ทุนมนุษย์” (Human Capital) “ในประเทศไทย” เอง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในฐานะภาคเอกชน บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือซีพีมีโครงการ “SPLD” หรือ “Strategic Project & Leadership Development” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาผู้นำเชิงกลยุทธ์โดยวิสัยทัศน์ของคุณศุภชัย เจียรวนนท์ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ (Young Talent) เพื่อสร้าง “ผู้นำรุ่นใหม่” ให้เป็น “Global Talent”

กลุ่ม “ผู้นำรุ่นใหม่” ของ “SPLD” จะได้รับการคัดเลือกจากแต่ละแผนก หรือหน่วยงาน โดยไม่จำกัดสายงานในเครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมตัวกันเป็นทีม เข้าอบรมผ่านวิธีการเรียนรู้จาก
ประสบการณ์จริง (Action-Based Learning) ได้รับโจทย์ให้คิดค้น ลงมือ พัฒนาโครงการจริง (Strategic Project) โดยโจทย์มักเป็นปัญหา หรือความท้าทายทางธุรกิจขององค์กร ที่ต้องอาศัยทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาเชิงระบบ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ภายนอกให้คำแนะนำ

การรวมกลุ่มพัฒนาโครงการแก้ปัญหาทางธุรกิจดังกล่าว จะยึดหลักการเรียนรู้ข้ามสายงาน (Cross-Functional Collaboration) เพื่อมิให้กลุ่ม “ผู้นำรุ่นใหม่” จำกัดศักยภาพการพัฒนา และประยุกต์ใช้ทักษะของตนเอง เรียกได้ว่า คือ การทลายไซโลไปในตัวด้วยนั่นเอง

กอปรกับวิสัยทัศน์ของเครือฯ ที่สนับสนุนให้กลุ่ม “ผู้นำรุ่นใหม่” สามารถเห็น End-to End Process ของธุรกิจ หรือโครงการ เป็นภาพมุมสูง (bird'seye view) จากเดิมที่มีเพียง “ซีอีโอ” หรือ “ผู้บริหารระดับสูง” เท่านั้นที่เข้าถึงภาพเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้กลุ่ม “ผู้นำรุ่นใหม่” สามารถเชื่อมโยงงานของตนกับเป้าหมายขององค์กรได้ชัดเจนมากขึ้น ตัดสินใจอย่างเป็นกระบวนการมากขึ้น

ผมเชื่อมั่นว่า การ “ดึงดูด” คนเก่งจากทั่วโลก ควรทำควบคู่ไปกับการ “ปลุกปั้น” คนไทยของเรา โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ และทั้งสองสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันได้ สิ่งนี้จะทำให้ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่นับข้อได้เปรียบที่มีอยู่แล้ว ทั้งค่าครองชีพต่ำ คุณภาพชีวิตดี ระบบบริการสุขภาพดี และการเชื่อมต่อภูมิภาคที่สะดวกสบาย

หากมีนโยบายและระบบรองรับอย่างจริงจัง ไทยอาจกลายเป็น “บ้านหลังที่สองของคนเก่งจากทั่วโลก และบ้านที่น่าอยู่อาศัยมากขึ้นของคนไทยเราเอง” ก็ว่าได้

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ

ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์

บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

‘สกาย’อินบทสาวจอมโก๊ะใน ‘คุณแม่แก้ขัด’ปลื้มฟีดแบ็กสุดปัง

แรงสนั่นทุกแพลตฟอร์ม! ‘นุเน๊ะ’ เขย่าวงการร็อกอีสาน ผ่านเพลง “ลา” ขยี้วินาทีเจ็บเจียนตาย

ฮึ่ม!ยึด‘มหาดไทย’คืนให้‘เพื่อไทย’คุม ‘ทักษิณ’ทุบ‘ภูมิใจไทย’ ฉะ‘มท.’ทำงานไม่เต็มที่

กกต.เรียกลอต5 22สว.เข้าชี้แจง‘คดีฮั้ว’ พี่ชายแกนนำภท.ติดโผ

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved