พ.ร.บ.ตั๋วร่วมใกล้คลอด ตั้งสภาผู้บริโภคเป็นกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม

พ.ร.บ.ตั๋วร่วมใกล้คลอด ตั้งสภาผู้บริโภคเป็นกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม

วันศุกร์ ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 18.11 น.

ใกล้คลอด พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ตั้งสภาองค์กรผู้บริโภค ในฐานะผู้แทนผู้บริโภคเป็นกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม  เปรียบเทียบตั๋วร่วมต่างประเทศ ใช้ตั๋วใบเดียวทั้งระบบขนส่งสาธารณะทุกระบบ สนข.ระบุใช้ตั๋วใบเดียว ราคาเดียว หากเชื่อมต่อ รถ ราง เรือครบสมบูรณ์

ความความคืบหน้าการผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย หลังจากรัฐบาลประกาศ ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" เปิดให้ลงทะเบียนเดือนสิงหาคม 2568  โดยล่าสุด พ.ร.บ. ตั๋วร่วม หลังผ่านการพิจารณาวาระ 1 ของกรรมาธิการวิสามัญฯ มีหลายมาตราได้ถูกปรับให้เหมาะสมยิ่งขึ้น อาทิ มาตรา 5 กำหนดให้ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภคเป็นผู้แทนผู้บริโภคในฐานะคณะกรรมการนโยบายตั๋วร่วม หรือมาตรา 31 ที่กำหนดให้ต้องมีค่าโดยสารร่วมครอบคลุมบริการขนส่งสาธารณะ หรือมาตรา 37 ที่กำหนดให้มีกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วมเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารและผู้ประกอบการในระบบตั๋วร่วม


นายจิรโรจน์  ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข )   กล่าวว่า   การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการวาระ 2  โดยเนื้อหาสำคัญของ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมคือ กำหนดให้มีตั๋วร่วม และค่าโดยสารร่วม และมีโครงสร้างบริหารจัดการ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม ซึ่งจะมีตัวแทนของผู้บริโภค คือ  ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค เป็นคณะกรรมการ เพื่อเป็นเสียงสะท้อนของผู้บริโภคในการใช้บริการ

นอกจากนี้สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ตั๋วร่วมประกอบด้วย  5 ประการ คือ 1.การจัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับตั๋วร่วมในอนาคต

2.กำหนดอัตราโดยสารร่วม ให้หน่วยงานของรัฐจะต้องนำอัตราค่าโดยสารร่วมไปใช้บังคับในการทำสัญญาสัมปทานขนส่งสาธารณะในอนาคต

3.จัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม รวมทั้งให้กู้ยืมแก่ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการตั๋วร่วม

4.ผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้

5.ในกรณีมีความจำเป็นให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบตั๋วร่วม และต้องได้ใบรับอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้ เพื่อรักษาการให้บริการระบบตั๋วร่วม

ทั้งนี้เชื่อว่ากฎหมายตั๋วร่วมจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงระบบขนส่งสาธารณะของไทย  โดยหากเทียบการใช้ระบบตั๋วร่วมกับต่างประเทศ ไทยใช้ระบบเดียวกับ ลอนดอน ที่กฎหมายตั๋วร่วมใช้กับรถขนส่งสาธารณะทุกประเทศ  โดยในประเทศไทยหากสร้างระบบขนส่งเชื่อมต่อทุกระบบเรียบร้อยแล้วจะใช้เป็นระบบตั๋วใบเดียว และราคาเดียวเช่นกัน

ส่วนระบบของประเทศอื่นๆ มีการใช้ตั๋วร่วมหลากหลาย เช่น บัตร suica ของญี่ปุ่น  บัตร easycard ของไต้หวัน บัตร Octopus  ฮ่องกง บัตร Oyster Card อังกฤษ บัตร T-MONEY เกาหลีใต้ และ บัตร EZ LINK สิงคโปร์ ซึ่งจุดเด่นของระบบตั๋วร่วมประเภทนี้ คือ ผู้บริโภคสามารถใช้จ่ายค่าบริการขนส่งสาธารณะ อาทิ รถเมล์ รถไฟฟ้า เรือโดยสาร และยังและยังสามารถใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคตามร้านสะดวกซื้อต่างๆได้ โดยรวมทุกอย่างไว้ในระบบตั๋วร่วมใบเดียวใช้ได้ทุกระบบขนส่งสาธารณะ

ด้าน นางสุภาพร ถิ่นวัฒนากูล  รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค  กล่าวว่า สภาผู้บริโภคสนับสนุนนโยบายระบบตั๋วร่วมเพราะเชื่อว่าจะช่วยยกระดับระบบขนส่งสาธารณะของไทยให้ได้ขึ้น โดยเห็นว่า สาระสำคัญที่ผู้บริโภคอยากเห็นมี 5 เรื่องสำคัญของ พ.ร.บ.ระบบตั๋วร่วม  1) มีประธานสภาองค์กรของผู้บริโภคในฐานะผู้แทนผู้บริโภคเป็นกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม2) ระบบตั๋วร่วมครอบคลุมการเดินทางทางถนน ทางราง และทางน้ำในฐานะขนส่งสาธารณะ 3) ผู้ให้บริการต้องรับฟังและจัดการแก้ไขเรื่องร้องเรียนจากผู้ใช้บริการระบบตั๋วร่วม4) ค่าโดยสารร่วมใช้ได้กับระบบขนส่งสาธารณะทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด 5) มีกองทุนสนับสนุนตั๋วร่วมเพื่อช่วยเหลือทั้งผู้โดยสารและผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top