กระแสปรับคณะรัฐมนตรีชัดเจน สร้างความสั่นคลอนภายในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้รัฐมนตรีหลายคนเริ่มปล่อยเกียร์ว่าง คล้ายจะรู้อนาคตตัวเองว่าทำงานไปตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา รอวันถูกโยกย้าย หนึ่งในรัฐมนตรีที่หลายโผบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามีดวงโยกย้ายคือ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง หนึ่งในรัฐมนตรีหน้าใหม่ เจน Y ที่ติดครม. ครั้งแรกก็ได้นั่งกระทรวงเทียร์ 1 ดูแล กรมภาษีใหญ่ที่สร้างรายได้เข้ารัฐอันดับ 2 อย่างกรมสรรพสามิต
ระหว่างดำรงตำแหน่ง รมช. เผ่าภูมิ มีผลงานเด่นชัดหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการเปิดทางสำหรับการขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล รวมถึงเพิ่มภาษีสรรพสามิตความหวาน และความเค็ม ที่มีการศึกษาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพราะกลไกด้านภาษีจะช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ รวมถึงเป็นกลไลในการเพิ่มรายได้ของรัฐที่มีประสิทธิภาพด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งการบ้านที่ถูกส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น และยังไม่ถูกทำให้เสร็จสักทีอย่าง “การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่” ที่ถูกคาดหวังว่าจะได้รัฐมนตรีคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ เข้ามาแก้ปัญหาสักที
เรื่องราวของภาษีสรรพสามิตบุหรี่ดูเหมือนจะเป็น "หนังม้วนเดิม" ที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแวดวงเศรษฐกิจและการคลังของไทย แม้จะมีเสียงเรียกร้องอย่างหนักจากทุกภาคส่วน รวมถึงมติ ครม. ที่เคยเห็นชอบให้มีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่เป็นอัตราเดียวหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ปลายปี 2563 แต่จนถึงวันนี้ สถานการณ์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้รับผิดชอบโดยตรง ยังคง "นิ่งเฉย" ปล่อยให้ประเทศชาติสูญเสียรายได้ภาษียาสูบไปแล้วกว่า 7 หมื่นล้านบาท ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา หากเทียบกับที่เคยเก็บได้ในปีงบประมาณ 2560 ก่อนมีการใช้โครงสร้างภาษี 2 เทียร์
มติ ครม. ที่ไร้ผล: ความล้มเหลวเชิงนโยบาย
ไม่บ่อยครั้งนักที่เรื่องภาษีจะได้รับความสนใจจากที่ประชุม ครม. ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สำหรับภาษีบุหรี่ สถานการณ์กลับเป็นเช่นนั้น เพราะตลอดการใช้ภาษีโครงสร้างแบบ 2 อัตรา ตั้งแต่ปี 2560 ชัดเจนแล้วว่าทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตบุหรี่ตกลงเรื่อยๆ จากที่เคยจัดเก็บได้กว่า 6.8 หมื่นล้านบาท กลับเหลือเพียง 4.9 หมื่นล้านบาทที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2568 และการใช้โครงสร้างภาษีเช่นนี้ยังไม่สามารถลงจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงได้ดังที่หวัง แม้ราคาบุหรี่จะทยานสูงขึ้น หลังการปรับขึ้นอัตราภาษีอีกครั้งในปี 2564 แต่การสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติกลับพบว่า ผู้สูบบุหรี่ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปในไทยในช่วงปี 2567 ลดลงเพียง 1 แสนคนเท่านั้น จากที่เคยอยู่ที่ 9.9 ล้านคนในปี 2564 เหลือ 9.8 ล้านคนในปี 2567 จึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่สรรพสามิตต้องชงเรื่องให้รัฐมนตรีรีบตัดสินใจก่อนจะสายเกินแก้ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์หลายท่านต่างชี้ว่า การที่ ครม. มีมติเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในปัญหาและทางออกที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม มติที่ออกมาหลายต่อหลายครั้งไม่สามารถกระตุ้นการตัดสินใจของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกรมสรรพสามิตได้ จนปัญหานี้ี้ถูก "แช่แข็ง" ไว้ ไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล และกลายเป็นการบ้านที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นแทน
7 หมื่นล้านบาท: ราคาของความเฉยชา
ตัวเลข 7 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขสมมติ แต่เป็นเม็ดเงินจริงที่ประเมินจากการสูญเสียรายได้ภาษีสรรพสามิตบุหรี่ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากโครงสร้างภาษีสองอัตราที่เปิดช่องให้มีการเลี่ยงภาษีอย่างมหาศาล ผู้ผลิตบุหรี่ต่างปรับตัวผลิตบุหรี่ราคาถูกเพื่อเสียภาษีในอัตราต่ำสุด ขณะที่บุหรี่เถื่อนทะลักเข้าสู่ตลาด เนื่องจากราคาบุหรี่ถูกกฎหมายที่สูงกว่ามากจูงใจให้เกิดการลักลอบนำเข้า ทำธุรกิจที่ความเสี่ยงต่ำ แต่กำไรงามนี้
คำถามที่ดังขึ้นเรื่อยๆ คือ เหตุใดนายเผ่าภูมิ ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสรรพสามิต และปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท จึงยังคงไม่ผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่มี "ใบสั่ง" ชัดเจนจาก ครม. อยู่แล้ว และบาดแผลกับรายได้รัฐก็ชัดเจนยิ่งกว่า การกระทำที่เหมือน "เมินเฉย" ต่อมติระดับสูงสุดของฝ่ายบริหาร กำลังทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระการสูญเสียรายได้ที่ควรจะเป็นของแผ่นดิน
การที่ภาษีบุหรี่ยังคงเป็นประเด็นที่ค้างคา ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรายได้ของรัฐบาล แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงสุขภาพของประชาชน และการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย การเร่งปรับโครงสร้างภาษี ก็จะเป็นผลดีแก่รัฐบาล ที่จะมีความสามารถในการจัดเก็บรายได้ภาษีได้มากขึ้น และโครงสร้างภาษีอัตราเดียวที่เป็นสากลยังได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ ทำให้รัฐสามารถลดรายจ่ายด้านสาธารณสุขได้ในระยะยาว
อนาคตของรายได้รัฐ ยังคงรอคอยการตัดสินใจที่เด็ดขาดจากกระทรวงการคลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก รมช. เผ่าภูมิ และปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิทในฐานะผู้บริหารสูงสุดฝ่ายข้าราชการประจำ ที่แม้จะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีไป แต่ข้าราชการกระทรวงการคลังที่ขึ้นชื่อว่าเป็นระดับหัวกะทิของประเทศต้องมีความแน่วแน่ และจัดอันดับความสำคัญได้อย่างถูกต้อง ถึงเวลาแล้วที่ต้องตอบคำถามว่า จะปล่อยให้มติ ครม. เป็นเพียงกระดาษไร้ค่า และเม็ดเงิน 7 หมื่นล้านบาทต้องหายไปกับตาอีกนานแค่ไหน? การดำเนินการที่ล่าช้า ไม่เพียงสะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพ แต่ยังสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างความกังขาในความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี