นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า กำลังเฝ้าติดตามว่าประเทศอิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือไม่ เพราะช่องแคบฮอร์มุซ เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเส้นทางพลังงานของโลก จากแหล่งน้ำมันดิบสำคัญในภูมิภาคซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบอ่าวเปอร์เซียไปสู่ลูกค้าในภูมิภาคอื่นทั่วโลก แม้ไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางและขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก ดังนั้น หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน และเนื่องจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ต้องนำเข้าน้ำมันจะได้รับผลกระทบพร้อมกัน กลายเป็นแรงกดดันในการจัดหาซัพพลายพลังงานโลก ทำให้ ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น และหากไม่สามารถขนส่งมายังประเทศไทยได้ อาจเกิดภาวะที่ขาดแคลนน้ำมันดิบในภาคการผลิตเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงภาคขนส่งของไทยส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นพลังงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีการนำเข้าปุ๋ยซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับภาคการเกษตรจากตะวันออกกลางสูงถึง 42.37% จากมูลค่านำเข้ารวมทั้งหมด ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลให้ต้นทุนสินค้าเกษตรของไทยพุ่งสูงขึ้น เกิดผลกระทบต่อทั้งค่าครองชีพของผู้บริโภคในประเทศ และคำสั่งซื้อจากคู่ค้าในตลาดโลก ส่วนด้านการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล เบื้องต้น สรท. ประเมินไว้ว่าหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซจริง ท่าเรือหลักในอ่าวเปอร์เซีย อาทิ Jabel Ali , Doha, Dammam มีโอกาสที่จะถูกปิด รวมถึงโครงข่ายการให้บริการโดยเรือ Feeder อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง และจะกระทบส่งออกไปทุกประเทศในอ่าวเปอร์เซียทั้งหมด โดยข้อมูลจากนักวิเคราะห์ (Linerlytica) ระบุว่าการปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลกระทบต่อปริมาณตู้คอนเมนเนอร์ที่ราว 3.4 % ของปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าอิหร่านจะตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซเมื่อใด ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้น้อยที่สุด สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะแนวทางการปรับตัวของผู้ผลิต/ผู้ส่งออก ต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้ 1. เร่งป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน 1.1) เตรียมพิจารณาปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน / เพิ่ม stock น้ำมันดิบให้มากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อพลังงานจากสหรัฐทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์สองทาง 1.2) สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งในระดับครัวเรือน และในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในระยะยาวได้เช่นกัน 1.3) เพิ่มสัดส่วนแหล่งนำเข้าปุ๋ยจากแหล่งอื่นทดแทน อาทิ รัสเซีย จีน มาเลเซีย ลาว บรูไน เป็นต้น
ขณะที่ข้อเสนอที่ 2. บริหารความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล 2.1) ผู้ส่งออกต้องวางแผนร่วมกับผู้ซื้อปลายทาง ถึงรูปแบบการขนส่งทางเลือกอื่น เช่น การเปลี่ยนไปขนถ่ายผ่านท่าเรือรองอื่น อาทิ Jeddah Port (Saudi Arabia), Salalah Port (Oman) เป็นต้น และขนส่งทางบกต่อไปยังพื้นที่ปลายทาง ด้วยการทำ Inland Transport โดยตรวจสอบว่าผู้นำเข้าสามารถเดินพิธีการทางศุลกากรเพื่อนำสินค้าจากท่าเรืออื่นนั้นได้หรือไม่ หรือสายเรือ/ผู้ให้บริการมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร เพื่อวางแผนล่วงหน้ากรณีสถานการณ์เป็นไปในทิศทางลบมากขึ้น 2.2) พิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าใด เป็นต้น 2.3) ผู้ส่งออกต้องติดตามข้อมูล Customer Advisories บนเวปไซต์ของสายเรือ หรือสอบถามสายเรือที่ใช้บริการให้ชัดเจน ถึงเส้นทางเดินเรือ ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี