นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 2/2568 โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายธนสาร ธรรมสอน ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าว สมาคมโรงสีข้าว และผู้แทนภาคเกษตรกร อาทิ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ตนได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการ ซึ่งที่ประชุม นบข. มีมติรับทราบสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ปี 2567/68 โดยสถานการณ์ข้าวโลก ปีการผลิต 2568/69 คาดว่าการผลิตข้าวจะอยู่ที่ 541.58 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่การบริโภคข้าวทั่วโลก อยู่ที่ 541.07 ล้านตัน เพิ่มขึ้นมากกว่าการผลิต ส่งผลให้อุปสงค์เพิ่มเร็วกว่าอุปทาน ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยมีปริมาณการค้าอยู่ที่ 61.66 ล้านตัน และสต็อกปลายปีอยู่ที่ 187.83 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.3% แต่ยังคงต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติและนโยบายแทรกแซงจากประเทศผู้ส่งออกและผู้นำเข้ารายใหญ่
ด้านสถานการณ์ข้าวไทย ข้าวนาปรัง ปี 2568 เก็บเกี่ยวแล้ว 96% หรือประมาณ 8.20 ล้านตัน คาดว่าจะทยอยออกสู่ตลาดครบในเดือนมิถุนายน ขณะที่ข้าวนาปี ปี 2568/69 คาดว่ามีพื้นที่เพาะปลูก 61.95 ล้านไร่ ลดลงเล็กน้อย แต่ผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 27.22 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 1% เนื่องจากฝนไม่ทิ้งช่วงในช่วงต้นฤดูเพาะปลูก ทำให้มีน้ำเพียงพอ โดยผลผลิตส่วนใหญ่จะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 ประมาณ 72%
ด้านความต้องการใช้ข้าว ปี 2568/69 คาดว่าลดลงเหลือ 28.66 ล้านตันข้าวเปลือก หรือลดลง 2% จากปีก่อน อินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง อย่างไรก็ตามการบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว ขณะที่การบริโภคข้าวของประชากรไทยยังคงลดลง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 73.41 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
ราคาข้าวในประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2568) พบว่าราคาข้าวเปลือกส่วนใหญ่ลดลงจากปีก่อน โดยเฉพาะข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ยกเว้นข้าวหอมมะลิที่ยังคงมีราคาสูงอยู่ที่ 15,500–17,000 บาทต่อตัน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อต่อเนื่องจากต่างประเทศ
ด้านการส่งออกข้าวไทยในช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม 2568 มีปริมาณ 3.05 ล้านตัน คิดเป็น 41% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 7.5 ล้านตัน ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่ง และความต้องการนำเข้าที่ชะลอตัวในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
โดยที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางเพื่อรักษาเสถียรภาพทางราคาและให้เกษตรกรได้มีรายได้ที่มั่นคง โดยเห็นควรปรับแผนการผลิตให้สอดคล้องกับทิศทางตลาด หลีกเลี่ยงการปลูกข้าวนาปรังที่มีแนวโน้มล้นตลาด พร้อมส่งเสริมการบริโภคข้าวในประเทศ และสนับสนุนการผลิตข้าวเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าวอินทรีย์ ข้าวสุขภาพ และข้าวคาร์บอนต่ำ เพื่อเพิ่มมูลค่าและกระจายความเสี่ย
นายวิทยากร กล่าวต่อว่า ที่ประชุม นบข.ยังได้พิจารณาวาระสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกและสร้างความมั่นคงให้เกษตรกรในระยะยาว จึงมีมติเห็นชอบในหลักการ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยกรมการค้าภายใน ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ( ธ.ก.ส.) จัดทำมาตรการ 4 โครงการ วงเงินงบประมาณรวม 50,038.67 ล้านบาท ดังต่อไปนี้
1.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางตนเอง 1 – 5 เดือน ได้รับค่าฝากเก็บ 1,500 บาท/ตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน โดยราคาสินเชื่อข้าวหอมมะลิ 13,000 บาทต่อตัน ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 11,500 บาทต่อตัน ข้าวเจ้า 8,000 บาทต่อตัน ข้าวปทุมฯ 9,000 บาทต่อตัน ข้าวเหนียว 10,000 บาทต่อตัน วงเงินงบประมาณจ่ายขาดไม่เกิน 9,305.06 ล้านบาท
2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้สถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เป้าหมาย 1.5 ล้านตันวงเงินจ่ายขาด 656.25 ล้านบาท
3.โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 โรงสีเก็บสต็อก 2 – 6 เดือน รัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3% ต่อปี เป้าหมาย 4 ล้านตัน วงเงินงบประมาณจ่ายขาด 642.00 ล้านบาท
4.โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ โดยให้ความช่วยเหลือเกษตรกร โดย (1) สนับสนุนเงินให้แก่เกษตรกร อัตรา 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ วงเงินงบประมาณ 18,967.68 ล้านบาท (2) สนับสนุนเงินค่าปัจจัยการผลิตผ่านแอป BAAC Mobile ของ ธ.ก.ส. ซึ่งสามารถใช้ซื้อปัจจัยการผลิตจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อัตรา 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ วงเงินงบประมาณ 18,967.68 ล้านบาท และ (3) ช่วยเหลือเงินให้เกษตรกรในการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในอัตรา 1,500 บาทต่อไร่ ประมาณ 1 ล้านไร่ (10% ของพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม หรือ 9.85 ล้านไร่) วงเงินงบประมาณ 1,500.00 ล้านบาท วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 39,435.36 ล้านบาท โดยให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และการดำเนินโครงการในกิจกรรมปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าว ประกอบด้วย กษ. พณ. ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำเสนอ นบข. ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้มอบหมายกรมการค้าภายใน ร่วมกับ ธ.ก.ส. จัดทำโครงการฯ และรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อ ครม. ตามมาตรา 27 และ 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์นำเสนอ ครม. ต่อไป
สำหรับโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 ไร่ละ 1,000 บาท มีมติมอบหมายให้กรมการข้าว และ ธ.ก.ส. จัดทำโครงการฯ พร้อมหลักเกณฑ์และเงื่อนไข สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร เสนอผ่านคณะอนุกรรมการ ด้านการผลิต ก่อนเสนอ นบข. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป ทั้งนี้ปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปรัง จำนวน 851,696 ครัวเรือน พื้นที่ปลูก 11.85 ล้านไร่ โดยใช้งบประมาณรวม 7,274.41 ล้านบาท
นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติมอบหมายให้กรมการค้าภายใน และ กรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอโครงการเพื่อเพิ่มช่องทางในการระบายผลผลิตสู่ต่างประเทศต่อไปอีกด้วย
-033
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี