นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย พัฒนาประเทศไทยให้มีบทบาทเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบหลักการของร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ.) และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณานั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้ว และส่งให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ทั้งนี้ ในลำดับต่อไป ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เพื่อให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว มีจำนวน 9 หมวด 94 มาตรา โดยมีสาระสำคัญประกอบด้วย 1) การกำหนดวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้และนิยามทางกฎหมาย 2) องค์ประกอบ คุณสมบัติ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน 3) การจัดตั้งและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงินที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-stop Authority: OSA) 4) คุณสมบัติ ขั้นตอนการสรรหา วิธีการแต่งตั้ง และอำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการที่จะเข้ามาบริหารสำนักงาน 5) ประเภทและขอบเขตของธุรกิจที่สามารถขอรับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ 6) แนวทางในการกำหนดสถานที่ตั้งเพื่อประกอบกิจการ 7) คุณลักษณะของนิติบุคคลที่ประสงค์จะยื่นคำขอประกอบธุรกิจ รวมทั้งหลักเกณฑ์ในการควบ โอน และเลิกกิจการของผู้ประกอบธุรกิจ 8) สิทธิประโยชน์ที่ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ 9) แนวทางในการกำกับดูแลและการตรวจสอบธุรกิจ และ 10) บทกำหนดโทษสำหรับผู้ประกอบธุรกิจในโครงการ Financial Hub
อย่างไรก็ตามการพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Financial Hub ถือเป็นโอกาสของประเทศไทยในการดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้าลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาสังคมและทรัพยากรบุคคลในประเทศ ซึ่งประกอบด้วย 1) สนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ส่งผลให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีได้เพิ่มขึ้น 2) สร้างการพัฒนาธุรกิจทางการเงินในประเทศไทย และจำนวนตำแหน่งงานด้านการเงินเพิ่มมากขึ้น โดยครอบคลุมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนด้านการเงิน นอกจากนี้ ยังดึงดูดแรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศให้เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น โดยจะส่งผลให้เกิดการถ่ายทอดทักษะองค์ความรู้ และเทคโนโลยี (Knowledge Transfer) ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินในประเทศไทย และ 3) เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน (Financial Infrastructure Development) และด้านอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดการลงทุนและการจ้างงาน รวมทั้งผลักดันให้เกิดการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต” ดังนั้น การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) นั้นจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยและเพิ่มศักยภาพให้แก่แรงงานของประเทศไทยในอนาคต
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี