นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการหารือร่วมกับ ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และคณะ โดยมี นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วม ว่า ได้มีการติดตามสถานการณ์ข้าวไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ทั้งแนวโน้มการส่งออก แนวโน้มตลาด ท่ามกลางความท้าทายจากตลาดโลก และร่วมกันกำหนดแนวทางในการผลักดันข้าวไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกได้ต่อไป
“ข้าวเป็นสินค้าเกษตรหลักที่มีผลต่อรายได้เกษตรกรและเศรษฐกิจของประเทศ หากการส่งออกมีปัญหา ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งด้านพันธุ์ข้าว ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช และต้นทุนการผลิต ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ริเริ่ม “โครงการธงเขียว” เพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกรไปแล้ว และเตรียมส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกต่อไป”
ทั้งนี้ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน เตรียมออกมาตรการดูแลข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยตั้งเป้าดึงผลผลิตข้าวเปลือกออกประมาณ 8.5 ล้านตัน ผ่านการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการจัดเก็บข้าวในยุ้งฉางของเกษตรกร เพื่อให้มีแรงซื้อในประเทศ
ส่วนกรมการค้าต่างประเทศ ได้มอบหมายให้ประสานกับทางการจีน เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวตามโควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน และเร่งขยายตลาดข้าวผ่านงาน China-ASEAN EXPO 2025 ณ เมืองหนานหนิง เดือนกันยายน 2568 และงาน China International Import Expo (CIIE) 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ เดือนพฤศจิกายน2568 รวมทั้งเน้นเจาะตลาดสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่ง และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดข้าวหอมมะลิศักยภาพ โดยเฉพาะฮ่องกงที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกสูง แต่ความต้องการลดลง เช่น อินโดนีเซียที่เคยนำเข้า 4 ล้านตันในปีก่อน คาดว่าอาจซื้อเพียงเล็กน้อยช่วงปลายปี และราคาข้าวก็ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 10.50 บาท จากเดิม 19–20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง
“คู่แข่งของเราพัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้น ทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่า ก็มีแนวโน้มที่ผู้ซื้อจะเปลี่ยนไปซื้อจากประเทศอื่น ต้องเน้นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน และตะวันออกกลาง และต้องเร่งพัฒนาความหลากหลายของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวนุ่ม ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในเอเชีย”นายชูเกียรติ กล่าว
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับอ่อนค่าประมาณ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย เพราะหากค่าเงินบาทผันผวนจะกระทบต่อการตัดสินใจขายและซื้อของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้า รวมทั้งเสนอให้เร่งเปิดตลาดข้าวในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยควรขยายปริมาณการขายเพิ่มขึ้น
กรมการค้าต่างประเทศ แจ้งว่า ในช่วงครึ่งปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน) ไทยส่งออกข้าวได้ 3.73 ล้านตัน มูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 27.29% และ 36.45% ตามลำดับ และคาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากปัจจัยสำคัญ อาทิ ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อินเดียกลับมาส่งออกปริมาณมากและมีสต็อกข้าวในประเทศสูง และอินโดนีเซียลดการนำเข้า รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า โดยชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว คิดเป็น 47.19% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมา คือ ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย มีตลาดสำคัญ ได้แก่ อิรัก สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ จีน และเซเนกัล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี