นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ตนได้เป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาศึกษาบทสรุปการเจรจาภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นต่อการค้าและการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ และตลาดโลก ณ ห้องประชุม 407 อาคารรัฐสภา

โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดย ส.อ.ท.ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนการใช้ Thai Content ของกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก

นอกจากนี้ ส.อ.ท.ยังได้นำเสนอข้อเสนอแนวทางในการรับมือผลกระทบจากมาตรการภาษี Reciprocal ของสหรัฐฯ เช่น 1.การเร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของสหรัฐฯ แก่ผู้ประกอบการ 2.การมอบหมายหน่วยงานหลักเพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ประกอบการ 3.มาตรการสนับสนุนการปรับตัว (Transformation) ของธุรกิจ

4.การบูรณาการความร่วมมือเพื่อสร้างบทบาทเชิงรุก 5.การพัฒนาความสัมพันธ์เชิงหุ้นส่วนด้านการค้าและการลงทุนกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง 6.การเร่งเจรจาความตกลงการค้า (FTA) เพื่อขยายโอกาสทางการค้าในตลาดอื่น 7.มาตรการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนหรือแข็งค่าเร็วกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค

เมื่อเร็วๆนี้ นายอรินทร์ จิรา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยนายชาติชาย พานิชชีวะ รองประธาน ส.อ.ท. และผู้แทนจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้เข้าร่วมงานรับประทานอาหารกลางวันกับผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย โดยมี ดร.แอนเจลา แมคโดนัลด์ เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ให้เกียรติเป็นเจ้าภาพ ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูต

โดยในการพบปะครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือถึงแนวทางส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและออสเตรเลีย พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองจากภาคเอกชนเกี่ยวกับโอกาสในอุตสาหกรรมที่ออสเตรเลียมีศักยภาพสูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นม และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจการค้าในภูมิภาค โดยในปี 2568 นับเป็นวาระครบรอบ 20 ปีของความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย–ออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ โดยภาคเอกชนไทยยืนยันความพร้อมในการสนับสนุนความร่วมมือครั้งนี้ให้แน่นแฟ้น ยั่งยืน และตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต