นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) หรือ GC กล่าวว่า แม้ครึ่งปีแรกยังสะท้อนความท้าทายของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลก แต่ GC ทิศทางการปรับตัวที่ชัดเจน ผ่านแนวทาง Holistic Optimization การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ และการเดินหน้ากลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะการมุ่งสู่ธุรกิจมูลค่าสูง–คาร์บอนต่ำ ซึ่งจะช่วยเสริมความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
“ในขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกหลายด้านเริ่มมีทิศทางเป็นบวกมากขึ้น ทั้งความชัดเจนด้านการค้าระหว่างประเทศ ตลอดจนมาตรการของจีนในการควบคุมกำลังการผลิต ผ่านนโยบาย Anti–Involution ที่มุ่งลดการแข่งขันที่ไม่สร้างมูลค่าและทยอยยุติกำลังการผลิตที่ล้าสมัย ซึ่งล้วนเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเสถียรภาพของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในระยะยาว” นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ GC ได้เดินหน้าทรานส์ฟอร์มองค์กรผ่านแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพแบบองค์รวม หรือ Holistic Optimization ควบคู่กับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในทุกมิติ ซึ่งครอบคลุม 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. Smart Plant เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการเดินเครื่องแบบเรียลไทม์ ประกอบด้วย Plant-wide Optimization: ยกระดับประสิทธิภาพโรงงานแบบองค์รวม, AI Vision & Drone Inspection: ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบและซ่อมบำรุงเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเสริมความปลอดภัย, Asset Intelligent Monitoring: ใช้แบบจำลองและ AI คาดการณ์ปัญหาอุปกรณ์ล่วงหน้า
2. Smart Sales & Marketing ยกระดับกลยุทธ์การขายและการกำหนดราคาให้แม่นยำและตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ประกอบด้วย Price Prediction: ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์ราคาอย่างมีประสิทธิภาพ และ Customer Acquisition & Retention: บริหารจัดการข้อมูลลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขาย การตลาด และการบริการ
3. Smart Work Process ปรับปรุงกระบวนการทำงานและบริหารจัดการข้อมูลจำนวนมากเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ประกอบด้วย Lean & Process Improvement: ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้กระชับและคล่องตัวผ่าน FiT Program และ Process Automation: ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้กระบวนการทำงานดำเนินไปแบบอัตโนมัติ
นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า การดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าว ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และเสริมความปลอดภัย แต่ยังสะท้อนความก้าวหน้าของ GC ในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนองค์กร ยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน และวางรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในระยะยาว
ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 GC มีรายได้จากการขายรวม 133,381 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า แม้อุตสาหกรรมยังคงผันผวน เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวช้า และเผชิญแรงกดดันจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ โดยบริษัทฯ มี Adjusted EBITDA 6,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน ตอกย้ำศักยภาพการดำเนินการตามกลยุทธ์เสริมประสิทธิภาพ เพิ่มรายได้และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ GC ยังคงรักษาความแข็งแกร่งด้านสภาพคล่อง โดยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 18,505 ล้านบาท และเงินสดรวมสินทรัพย์การเงินหมุนเวียนกว่า 27,888 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงินและเสถียรภาพของธุรกิจ
นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากการเสริมความสามารถทางการแข่งขันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลแล้ว GC ยังมุ่งพัฒนาการดำเนินงานอย่างยั่งยืนด้วยโครงการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความได้เปรียบในระยะยาว อาทิ โครงการใช้พลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในกระบวนการผลิตโอเลฟินส์ ร่วมกับ บริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด (PE LNG) ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 60,000 ตันต่อปี โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2570
ในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนและเป็นส่วนสำคัญของการขยายธุรกิจมูลค่าสูง-คาร์บอนต่ำ GC เดินหน้าดึงศักยภาพของ allnex อย่างเต็มที่ ทั้งการขยายกำลังการผลิตในตลาดที่มีการเติบโตสูง อาทิ จีน อินเดีย การพิจารณาลงทุนเพิ่มเติมในมาบตาพุด สำหรับตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานในทุกภูมิภาค ผ่านการปรับโครงสร้างต้นทุน (Cost Optimization) การบริหารจัดการการลงทุนอย่างรอบคอบ (CAPEX Prioritization) และการพัฒนากระบวนการเชิงพาณิชย์และการปฏิบัติการให้มีความเป็นเลิศ (Operational & Commercial Excellence)
พร้อมกันนี้ GC และ allnex ยังคงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอโซลูชันการเคลือบผิวที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การยกระดับประสิทธิภาพการใช้งาน หรือการสร้างคุณค่าเพิ่มเติมที่ช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ควบคู่กับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน
ขณะที่โรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ของ GC ซึ่งสามารถผลิตน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) เชิงพาณิชย์ได้เป็นรายแรกในประเทศไทย ถูกนำไปใช้งานจริงแล้วโดยสายการบิน Bangkok Airways นอกจากนี้ ยังร่วมกับ HMC Polymers ผู้ผลิตเม็ดพลาสติก PP รายแรกและรายใหญ่ที่สุดของไทยพัฒนาผลิตภัณฑ์ Bio-Propylene ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูงที่หลากหลาย อาทิ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพและสุขอนามัย รวมถึงของใช้และของเล่นสำหรับเด็ก เป็นต้น
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี