ส.อ.ท.วอนทีมเศรษฐกิจใหม่ทำงานทิศทางเดียวกัน จี้รัฐเร่งแก้บาทแข็ง

ส.อ.ท.วอนทีมเศรษฐกิจใหม่ทำงานทิศทางเดียวกัน จี้รัฐเร่งแก้บาทแข็ง

วันพุธ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2568, 15.40 น.

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า โฉมหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ล่าสุด นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ตอบรับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเดินทางเข้าพรรคภูมิใจไทย ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะได้ผู้บริหารที่มีฝีมือ เพียงแต่ต้องประสานกับภาคราชการให้ราบรื่น เพราะหากเทียบกับ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายวรภัค ธันยาวงษ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทุกคนล้วนผ่านการทำงานกับข้าราชการมาก่อน

ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจที่เหลืออยากให้ นายอนุทิน ให้ความสำคัญเช่นกัน ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษกิจและสังคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อต้องทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกับคลัง พลังงาน และพาณิชย์ ซึ่งพบว่าทั้ง 4 กระทรวงมีรัฐมนตรีมาจากพรรคร่วมรัฐบาล จึงอยากให้นายอนุทินสร้างกลไกที่ทำให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจทุกกระทรวงทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ต่างคนต่างทำเหมือนในอดีต ต้องสร้างกลไกการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพให้ได้


นายเกรียงไกร กล่าวว่า ปัจจุบันเอกชนภาคการส่งออกกำลังเผชิญกับสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าอย่างหนัก ขณะนี้แข็งเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค โดยตั้งแต่ต้นปีแข็งค่าขึ้น 7% หลายฝ่ายคาดว่าจะแข็งค่าถึงระดับ 31.50 บาท เรื่องนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย กังวลมาก จึงเตรียมนำเสนอต่อรัฐบาล ทั้งกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน โดยจะนำเสนอทันทีหลังคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีผลและเริ่มทำงาน

“ค่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่เพียงกระทบการส่งออก ยังกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว อาจทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหันไปเที่ยวประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งไทย เช่น เวียดนาม และเงินถูกกว่า โดยความผิดปกติหนึ่งที่รัฐบาลต้องเร่งเข้าไปดูแลและแก้ปัญหาคือ การส่งออกทองที่สูงมาก โดยเฉพาะการส่งออกทองไปกัมพูชาเพิ่มขึ้นผิดปกติ เรื่องนี้ต้องหาสาเหตุ เบื้องต้นอาจแยกดุลทองคำออกมา โดยจะหารือกับกระทรวงการการคลังและธปท.ในเร็วๆนี้”นายเกรียงไกรกล่าว

นายเกรียงไกร กล่าวว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะ มาตรการ “คนละครึ่ง” ถือเป็นโครงการที่ดีในช่วงระยะสั้น โดยเป็นมาตรการหนึ่งในการเพิ่มกำลังซื้อด้วยการลดค่าใช้จ่ายเพื่อให้ประชาชนออกมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งขณะนี้เรามีแพลตฟอร์มที่มีความพร้อม เพียงแต่อาจจะต้องมีการปรับเงื่อนไขเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะกับการใช้ โดยข้อดีของมาตรการดังกล่าวคือการกระจายไปได้เร็ว กว้าง และลึก ซึ่งถือว่าเปนหัวใจสำคัญ เนื่องจากหลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา แม้ว่าจะมีเม็ดเงินจริงแต่เป็นการกระจุกตัว ไม่กระจายตัว

“วันนี้ปัญหาของไทยก็คือ รากหญ้า รวมถึงประชาชนทั้งประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับอานิสงส์จากมาตกรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมา ดังนั้น จึงต้องสร้างให้เกิดกำลังซื้อ และทำให้เม็ดเงินดังกล่าวเหล่านี้ลงไปให้ลึกและกว้างที่สุด โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ”นายเกรียงไกรกล่าว

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ส่วนการเพิ่มวงเงินเป็น 200 บาทตามข้อเสนอของภาคธุรกิจนั้น มองว่าเป็นการเพิ่มให้เหมาะสมตามสถานการณ์ ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัวนั้นเห็นด้วย หรือแม้กระทั่งมีการออกสูตรที่เรียกว่า 60 : 40 และ 50 : 50 ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจากประสบการณ์ที่เคยมีโครงการดังกล่าวนี้มาก่อนหน้านั้น จึงมองว่าอะไรที่เป็นโครงการที่ดีสามารถนำกลับมาใช้ได้ทันที ไม่ต้องคิดใหม่ และมีข้อพิสูจน์แล้วว่าได้ผล เป็นที่นิยม เพราะฉะนั้นก้แค่นำมาปรับเงื่อนไขเล็กน้อยให้มีความเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือจะต้องแม่นยำ กระจายให้ทั่วถึง ให้ลึกที่สุด และถึงมือผู้บริโภค รวมถึงพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย เพราะวันนี้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ แต่คนที่ได้รับผลกะทบหนักที่สุดคือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ซึ่งเปราะบางที่สุด

 ขณะที่การท่องเที่ยวที่จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์ที่สำคัญในครึ่งปีหลัง หรือช่วง 4 เดือนของรัฐบาล เพราะว่าเป็นช่วงไฮซีซั่น แม้ 6 เดือนแรกที่ผ่านมาจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามา แต่ต้องเทียบกับช่วง 6 เดือนของปีห่อนหน้า ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวหายไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ช่วง 6 เดือนหลังที่เป็นช่วงไฮซีซั่นรัฐบาลจะต้องรีบเร่งนำเม็ดเงินลงไป ซึ่งจากตัวเลขเดิมที่เข้ามา การใช้จ่ายกระจุกตัวแค่ 5 จังหวัด และเป็นโรงแรม 4-5 ดาวของต่างประเทศ เม็ดเงินไม่ได้เป็นรายได้ของคนไทยมากนัก

“สิ่งที่พูดมาตลอดก็คือจะทำให้อย่างไรให้ท่องเที่ยวเมืองรองเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น จีน ซึ่งประสบความสำเร็จ โดยที่เม็ดเงินเหล่านั้นไปเร็ว และลึกที่สุด โดยจะทำให้โรงแรมในต่างจังหวัด ประชาชนจะได้ขายของได้จากการเดินทาง และจับจ่ายใช้สอย ซึ่งมองว่านี่คือโรงแรม และธุรกิจของคนไทย 100%”นายเกรียงไกรกล่าว

- 030 

 

 

 

 

 

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top