นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนสิงหาคม 2568 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงร่วงลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน และแตะระดับต่ำสุดในรอบ 32 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไร้เสถียรภาพ
โดยผู้บริโภคมีความไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ทำให้นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และส่งผลทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย รวมถึงแรงกดดันจากสงครามการค้าสหรัฐฯ แม้สหรัฐฯจะมีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าให้กับไทยจาก 36% เหลือ 19% แล้วก็ตาม แต่กลับสร้างความผันผวนในตลาดโลก ในขณะเดียวกันสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ยกระดับจนเกิดเหตุรุนแรงจนเกิดการสู้รบในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม แม้ว่าจะมีการเจรจาหยุดยิงก็ตาม แต่สถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลให้เกิดความกังวลต่อประชาชนในจังหวัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งบรรยากาศการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนที่ชะงักงัน ก็ยิ่งตอกย้ำบรรยากาศความไม่มั่นใจ ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และฟื้นตัวได้ช้า
ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านเศรษฐกิจโดยรวม ลดลงมาอยู่ที่ 44.1 จาก 45.6 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านโอกาสการหางาน ลดลงจาก 49.8 เหลือ 48.3 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านรายได้ในอนาคต ลดลงจาก 59.6 เหลือ 58.0 การที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ที่ปรับลดจาก 51.7 เหลือ 50.1 ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่สะท้อนถึงการมีความไม่มั่นใจ โดยผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าและค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้า ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
โดยดัชนีความเชื่อมั่นปัจจุบันลดลงจาก 36.7 เหลือ 36.0 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต(ใน 6 เดือนข้างหน้า) ปรับตัวลดลงจากระดับ 58.9 มาอยู่ที่ระดับ 58.1 ซึ่งการที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 อีกทั้งะอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 32 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมาย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นของบริโภคลดลงได้ในอนาคต หากการเมืองไทยขาดเสถียรภาพและเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับต่ำกว่าค่ามาตรฐานนั้น สะท้อนว่าประชาชนยังคงมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเปราะบาง และฟื้นตัวยาก ท่ามกลางค่าครองชีพที่ยังสูงอยู่ และความเสี่ยงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งจะกระทบต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต หากสถานการณ์การเมืองยังคงไร้เสถียรภาพและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่สามารถสร้างแรงเชื่อมั่นได้ทันเวลา ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็อาจถดถอยลงไปอีกในระยะข้างหน้า”นายธนวรรธน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี