ภัยการเงินดิจิทัล สร้างความเสียหายมหาศาล

ภัยการเงินดิจิทัล สร้างความเสียหายมหาศาล

วันเสาร์ ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน BOT SYMPOSIUM 2025 หัวข้อ "เท่าทันภัยการเงิน: Towards Safer and More Inclusive Digital Finance" ว่า ความก้าวหน้าทางการเงินดิจิทัลทำให้การทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ จนเปลี่ยนวิถีชีวิตทางการเงินของทั้งประชาชนและภาคธุรกิจไปอย่างมาก แต่ความก้าวหน้าก็มาพร้อมกับความเสี่ยงภัยการเงินที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลกและกำลังเป็นภัยคุกคามคนไทยในวงกว้าง

ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วกว่า 1 ล้านราย มูลค่าความเสียหายเกือบ 9.8 หมื่นล้านบาท แต่การแก้ปัญหามีความท้าทายไม่น้อยเห็นได้ชัดจากกรณีการจัดการบัญชีม้าล่าสุดที่พบว่าหนึ่งในการดำเนินการเพื่อจัดการภัยการเงิน ในการต่อเส้นเงินตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (พ.ร.ก. ไซเบอร์) ที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยกักเงินคืนให้ผู้เสียหาย มีผลกระทบต่อผู้สุจริตในเส้นเงินมากกว่าคาด


ธปท.จึงร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และภาคีที่เกี่ยวข้องปรับกระบวนการ โดยให้การปลดระงับบัญชีทำได้เร็วขึ้นเพื่อลดผลกระทบต่อผู้สุจริตให้ทำได้ภายในสิ้นเดือนนี้เพื่อช่วยคลายความกังวลของร้านค้า และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการใช้ระบบชำระเงินดิจิทัล

ภัยการเงินโดยเฉพาะการหลอกลวงที่เหยื่อยินยอมโอนเงินเองกำลังแพร่กระจายรวดเร็ว ตามการเติบโตของระบบชำระเงินที่รวดเร็วสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างและความจำเป็นที่เราต้องทำให้ 3 องค์ประกอบนี้ดีขึ้น คือ 1.ด้านเทคโนโลยี: ระบบ fast payment ที่ทำให้ธุรกรรมง่าย รวดเร็ว ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา เอื้อให้เกิดการหลอกลวงที่ยากต่อการจัดการ ใน 2 มิติหลัก

มิติแรกคือ Scale : ระบบ fast payment ผนวกกับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่เชื่อมผู้คนจำนวนมากเข้าหากันง่ายขึ้น ประกอบกับ AI ที่ทำให้กลโกงแนบเนียนขึ้น ส่งผลให้การหลอกลวงเกิดง่าย จากการสำรวจคนไทยกว่า 7,000 ตัวอย่าง พบว่า 70% เคยถูกชักชวนหรือหลอก และกว่า 30% ได้รับความเสียหาย และครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร

มิติที่สองคือ Speed : fast payment เปิดทางให้มิจฉาชีพโอนเงินออกนอกระบบได้เร็ว เงินจึงหายไวตามได้ยาก โดยข้อมูลชี้ว่า เงินกว่า 50% ถูกโอนออกใน 3 นาที ขณะที่เหยื่อใช้เวลาเฉลี่ย 18 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งความ ทำให้การรับมือของสถาบันการเงินต้องแข่งกับเวลา

เทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิผลของการจัดการภัยการเงินอย่างครบวงจร ตั้งแต่การป้องกัน ตรวจจับ จัดการความผิดปกติจากการทำธุรกรรมทางการเงิน ตัวอย่างของนโยบายที่ ธปท.กำลังจะดำเนินการ คือ การยกระดับการพัฒนาระบบตรวจจับที่แม่นยำทันท่วงที โดยใช้ข้อมูลการทำธุรกรรมระหว่างธนาคาร และระบบฐานข้อมูลกลางการทุจริต หรือ Central Fraud Registry (CFR) และการยกระดับระบบ CFR ให้ระงับและต่อเส้นเงินได้รวดเร็วขึ้น ผ่านการใช้ Application Programming Interface (API) และระบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดเส้นทางเงินของมิจฉาชีพและกักเงินไว้ให้ได้มากที่สุด

2.ด้านการกำกับดูแลจะเห็นได้ว่า ภัยการเงินเกิดได้หลายรูปแบบ หลายช่องทาง และเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วนในห่วงโซ่การหลอกลวงโดยมิจฉาชีพอาศัย "ช่องโหว่" ในห่วงโซ่นี้เพื่อหลอกลวงและปกปิดเส้นทางการเงิน เราจึงต้องกำหนดมาตรฐานให้ผู้ให้บริการมีกระบวนการป้องกัน ตรวจจับ รับมือกับภัยการเงิน การกำหนดอำนาจหน้าที่ฝ่ายต่างๆอย่างครอบคลุมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน

3.ด้านข้อมูล ภัยการเงินที่มากับระบบ fast payment ทำให้สถาบันการเงินและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายขาดข้อมูลที่ครบถ้วนในการติดตามเส้นทางเงิน เพราะมิจฉาชีพโอนเงินได้รวดเร็ว ข้ามทั้งสถาบันการเงินและระบบชำระเงินที่ยังไม่เชื่อมโยงกัน อีกทั้งงานวิจัยชี้ว่ามีเพียง 10% ของผู้เสียหายที่แจ้งความ ทำให้สถาบันการเงินไม่อาจแยกผู้สุจริตออกจากผู้ทุจริตได้ชัดเจน และผู้ใช้บริการก็อาจขาดความรู้ความเข้าใจ จึงตัดสินใจไม่รอบคอบและไม่สามารถปกป้องตนเองได้

เราต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาข้อมูลในทุกมิติ ผ่านการส่งเสริม การแชร์ เชื่อมโยง และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งระบบ รวมถึงการแจ้งความของประชาชน, การใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างภาคส่วน , การเปิดเผยข้อมูล และมีกลไกที่ช่วยให้ประชาชนใช้ข้อมูลในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ ธปท.และภาคี จึงจัดตั้งระบบฐานข้อมูล Central Fraud Registry เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถาบันการเงิน และขยายความครอบคลุมไปถึงทั้งธนาคาร นอนแบงก์ และศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมกับการพัฒนาระบบการรับแจ้งความที่สะดวกขึ้นผ่าน AOC 1441 อีกด้วย

มาตรการต่างๆเริ่มเห็นผลเช่น การโจรกรรมแบบไม่ได้รับอนุญาต ในรูปแบบ "แอปดูดเงิน" ทยอยหมดไปตั้งแต่ต้นปี 2568 จากที่เคยมีถึง 7,444 กรณี ในปี 2566  และจัดการบัญชีม้าไปแล้วกว่า 2.8 ล้านบัญชี ซึ่งก็มีส่วนทำให้ความเสียหายของกรณีโดนหลอกให้โอนเอง ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 8,950 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ของปี 2567 เป็น 5,651 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปี 2568

ดังนั้นแม้เราจะก้าวหน้าไปมาก แต่ความเสี่ยงและภัยการเงินก็จะพัฒนาต่อ ตามการพัฒนาของระบบการเงิน เรา ในฐานะประชาชน สังคม และระบบการเงิน ต้องร่วมมือกันสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อให้สังคมไทยเติบโตไปกับการเงินดิจิทัลได้อย่างมั่นคงและสมดุล

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top