เฟดหั่นดบ.ช่วยตลาดหุ้นดีขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังเจอหลายโจทย์ยาก

เฟดหั่นดบ.ช่วยตลาดหุ้นดีขึ้น แต่เศรษฐกิจไทยยังเจอหลายโจทย์ยาก

วันศุกร์ ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568, 07.15 น.

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ในเครือเอสซีบีเอกซ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกปี 2568-2569 มีแนวโน้มขยายตัว 2.9% และ 3.0% หลังสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษี Reciprocal Tariff ต่ำกว่าคาด โดยเก็บเพียง 15% สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว และ 19-20% สำหรับประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอแต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ตลาดแรงงานอ่อนลงแต่ยังไม่กระทบการบริโภค ขณะที่ยุโรปเริ่มฟื้นตัวจากมาตรการการคลังและนโยบายการเงินผ่อนคลาย ส่วนจีนยังชะลอจากปัญหาเชิงโครงสร้าง คาดโตเพียง 4.4% ในปี 2568 และ 4.0% ในปี 2569 แม้มีมาตรการ Anti-Involution เพื่อพยุงการเติบโต

ด้าน นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในไทยไตรมาส 4/2568 ชัดเจนขึ้น หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)  ลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดและค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ช่วยหนุนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย ด้านการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงชะลอ โดย InnovestX คาดว่า GDP ปี 2568 โตเพียง 1.8% และปี 2569 โต 1.4% โดยแรงกดดันหลักมาจากการส่งออกที่ยังไม่ฟื้น ราคาสินค้าเกษตรผันผวน และหนี้ครัวเรือนสูง ขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการกระตุ้นเป็นปัจจัยพยุง  ส่วนมาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลออกมา เช่น โครงการคนละครึ่ง แม้ช่วยได้บ้าง แต่กระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.1% เท่านั้น


ส่วนฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ปรับลดมุมมองเครดิตประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” แต่ยังคงอันดับเครดิตที่ “BBB+” โดยให้เหตุผลว่า ฐานะการคลังมีความเปราะบาง ความไม่แน่นอนทางการเมืองยืดเยื้อ และแนวโน้มเศรษฐกิจยังอ่อนแอ โดยนายสุทธิชัย กล่าวว่า การปรับลดมุมมองครั้งนี้ไม่เหนือความคาดหมายของตลาด แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งทำการบ้าน โดยเฉพาะการประสานสัญญาณร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและป้องกันไม่ให้ไทยถูกปรับลดอันดับเครดิตในอนาคต

“ปัจจัยบวกสำคัญมาจากการที่ Fed ลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง และคาดว่าจะลดต่อในครึ่งปีแรกปี 2569 ช่วยหนุนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเองอาจพิจารณาลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและแก้แรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไป  แม้ปัจจัยจากต่างประเทศจะช่วยหนุนบรรยากาศลงทุน แต่โจทย์ใหญ่ของไทยยังอยู่ที่การดูแลค่าเงินและการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย โดยรวมแล้ว ภาพการลงทุนมีทิศทางดีขึ้น แต่ยังต้องระมัดระวัง ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว มาตรการของรัฐและทิศทางนโยบายการเงินยังคงมีความสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า”นายสุทธิชัย กล่าว

ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน InnovestX มองว่า ความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทยจำกัด นักลงทุนควรเน้นหุ้น Domestic Play  ที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ พร้อมแนะนำหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น  AP  ที่โดดเด่นด้านอสังหาฯ ที่อยู่อาศัย มีฐานรายได้มั่นคง  CENTEL ได้แรงหนุนตรงจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว DIF รายได้สม่ำเสมอจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และปันผลสูง  HMPRO สอดรับกำลังซื้อและการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในประเทศ  MTC ได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาลงและสินเชื่อรายย่อยในภูมิภาค  สำหรับต่างประเทศ เน้นหุ้นเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมวัฏจักร เช่น TSLA, MSFT, NVDA, AAPL (สหรัฐฯ), ASML, LVMH (ยุโรป) และ Tencent, Alibaba (จีน) ซึ่งได้แรงหนุนจากดอกเบี้ยขาลงและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top