นักวิชาการธรรมศาสตร์ หนุนผลักดัน “ประเทศไทย” เป็น “ศูนย์กลางการบิน” ชี้ประเทศไทยมีศักยภาพเชิงความพร้อม-พื้นที่ เหมาะเป็นจุดเชื่อมต่อภาคตะวันตกและภาคตะวันออกของโลก เชื่อหาก “อนุทิน” เดินหน้า Aviation Hub อย่างจริงจัง จะสร้างเศรษฐกิจ-โกยเม็ดเงินเข้าประเทศมหาศาล แนะรัฐแก้กฎหมายส่งเสริมเอกชนลงทุน
รศ.ดร.ธีร เจียศิริพงษ์กุล อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า นโยบายการเป็นศูนย์กลางการบิน หรือ Aviation Hub ที่จะทำให้สนามบินไทยเป็นจุดศูนย์กลางในการเชื่อมต่อเที่ยวบินการเดินทางของผู้โดยสาร (Transfer) หรือสายการขนส่งและกระจายสินค้าทางอากาศต่อไปยังปลายทางอื่นๆ ได้สะดวกรวดเร็ว เป็นนโยบายที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาส และสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างมหาศาลในระยะยาว จึงอยากเสนอให้รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พิจารณาและขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม
รศ.ดร.ธีร กล่าวว่า การเป็นศูนย์กลางการบิน หรือ Aviation Hub ถือเป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้นโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยบรรลุผล ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การนำเข้า-ส่งออกที่จะนำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพเชิงพื้นที่ในการเป็นจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อระหว่างภาคตะวันตกและภาคตะวันออกของโลกได้ ฉะนั้นหากมีการขับเคลื่อนนโยบาย Aviation Hub อย่างจริงจัง มั่นใจว่าจะก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล
รศ.ดร.ธีร กล่าวอีกว่า โจทย์ที่สำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายการเป็นศูนย์กลางการบิน หรือ Aviation Hub คือจะทำอย่างไรให้สายการบินทั่วโลกมีความต้องการที่จะนำเครื่องบินมาจอดที่สนามบินในประเทศไทย ซึ่งหัวใจที่จะชี้วัดการตัดสินใจเลือกจอดที่สนามบินไทยหรือสนามบินประเทศอื่นๆ คือการบริการภาคพื้นดิน หรือ Ground Services ที่ต้องสะดวกและรวดเร็ว เพราะทุกสนามบินแข่งขันกันที่ความรวดเร็วเพื่อเอาชนะใจผู้บริโภคทั้งสิ้น
“Ground Services จึงครอบคลุมทั้งการบริการผู้โดยสารและสายการบินตั้งแต่วินาทีแรกที่ผู้โดยสารเดินทางมาถึงสนามบิน ไปจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่เครื่องบินจะเทคออฟออกจากรันเวย์ คือนับตั้งแต่การเช็คอิน การยืนยันตัวตน การดูแลเรื่องกระเป๋าสัมภาระ การดูแลความเรียบร้อยภายในอาคารสนามบิน การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารจนขึ้นเครื่องบิน เราจะทำอย่างไรให้ Ground Services มีศักยภาพสูงสุด” รศ.ดร.ธีร กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า ภายใต้การเป็น Aviation Hub ยังจำเป็นต้องมีบริการที่ครบวงจรเพื่อให้ผู้โดยสารสามารถใช้เวลาในสนามบินอย่างสะดวกสบาย คุ้มค่าและไม่เสียเวลา รวมถึงการยกระดับบริการขนส่งสินค้า (Cargo) ทั้งขาเข้าและขาออกเพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วมากที่สุดเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะสำเร็จได้จำเป็นต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนอย่างจริงจัง และต้องมีการปรับแก้กฎหมายแม่บทและกฎหมายลูกเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาประกอบธุรกิจได้อย่างคล่องตัว เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ รวมถึงการประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่าประเทศไทยพร้อมเดินหน้าอุตสาหกรรมการบินที่จะเป็น Aviation Hub อย่างแท้จริงแล้ว
“ในหลายๆ มิติหากจะรอให้ภาครัฐมาเป็นผู้ลงทุนด้วยตนเองคงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นโจทย์คือจะทำอย่างไรที่เอกชนลงทุนแล้วรัฐได้ประโยชน์มากที่สุด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาปรับแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคอยู่ เพราะการปรับปรุงกฎระเบียบเหล่านี้รัฐบาลสามารถสามารถทำได้ทันทีและทำได้ง่ายกว่าการลงทุน ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่กฎระเบียบเอื้อ เมื่อนั้นการลงทุนจากเอกชนจะหลั่งไหลเข้ามาโดยอัตโนมัติ” รศ.ดร.ธีร กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี