ชี้มาตรการรัฐช่วยหนุน ดันดัชนีเชื่อมั่นอุตฯส.ค.ขยับขึ้น

ชี้มาตรการรัฐช่วยหนุน ดันดัชนีเชื่อมั่นอุตฯส.ค.ขยับขึ้น

วันพฤหัสบดี ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 87.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.4 ในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีดังกล่าวเป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน และเอื้อต่อการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ยังสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ภายหลังกระทรวงการคลังได้ปรับลดเงื่อนไขให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สามารถค้ำประกันสินเชื่อให้สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (Non-Bank) ได้ ส่งผลให้สภาพคล่องของผู้ประกอบการดีขึ้นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน การส่งออกสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรและอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดมาเลเซีย, เวียดนาม และไต้หวัน ขณะที่ยอดขายยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แรงหนุนจากงาน “BIG Motor Sale 2025” โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล


ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) มีแนวโน้มขยายตัว โดยในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2568 การลงทุนจากต่างชาติเติบโตเพิ่มขึ้น 125 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คิดเป็นมูลค่ารวม 225,536 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ของนักลงทุนต่างชาติ รวม 197 ราย เพิ่มขึ้น 21 % จากปีก่อน (YoY) คิดเป็นมูลค่า 74,792 ล้านบาท หรือ 33 % ของเงินลงทุนทั้งหมด

อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายน ยังมีปัจจัยลบหลายประการที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ซึ่งกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกและลดทอนความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก ขณะเดียวกัน ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากอิทธิพลของมรสุมที่ก่อให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบทางการเกษตรและอาหารแปรรูป อีกทั้งทำให้ราคาสินค้าเกษตรสำคัญหลายรายการ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ปรับตัวลดลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรและกำลังซื้อของประชาชนในภูมิภาค รวมทั้งการปิดด่านชายแดนกัมพูชา และด่านพรมแดนแม่สอด–เมียวดีที่ยืดเยื้อ ยังส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในเดือนสิงหาคม 2568 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาลดลงเหลือ 13,827 ล้านบาท หดตัว 20.8 % ( YoY) ขณะที่การค้ากับกัมพูชาลดลงอย่างมากเหลือเพียง 10 ล้านบาท หดตัว 99.9 %  (YoY)

ด้านม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธาน ส.อ.ท. และประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ ส.อ.ท. กล่าวว่า จากผลการสำรวจผู้ประกอบการจำนวน 1,348 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนกันยายน 2568 พบว่าปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ  66.8 % นโยบายภาครัฐ  54.6 % การเข้าถึงสินเชื่อ  30.3 % ราคาพลังงาน 29.6 %และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้  21.2  % ส่วนปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจโลก  62.4 %  และอัตราแลกเปลี่ยน (โดยเฉพาะในมุมมองของผู้ส่งออก)  47.4  % ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ระดับ 91.8 เพิ่มขึ้นจากระดับ 88.9 ในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการ “คนละครึ่ง” ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนตุลาคม 2568 ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงินประมาณ 25,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับการประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าภายใต้มาตรา 232 ของสหรัฐอเมริกา ในกลุ่มสินค้าไม้ ยา เฟอร์นิเจอร์ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ รวมถึงความไม่แน่นอนของคำตัดสินจากศาลฎีกาสหรัฐอเมริกาในประเด็นภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) อีกทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดจากข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังคงดำเนินอยู่ ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top