กรมทรัพย์สินฯชี้เทรนด์อาหารแห่งอนาคตรุ่ง หนุนนักวิจัยไทยเป็นเจ้าของนวัตกรรม

กรมทรัพย์สินฯชี้เทรนด์อาหารแห่งอนาคตรุ่ง หนุนนักวิจัยไทยเป็นเจ้าของนวัตกรรม

วันอังคาร ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 10.45 น.

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า จากข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต หรืออาหารที่ปลอดภัยเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบสนองวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ อาหารเชิงฟังก์ชัน (Functional Food) โปรตีนทางเลือก และอาหารออร์แกนิก เป็นต้น และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และประมาณการว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านบาทในไทยในปี 2570 และแม้ว่าปัจจุบันเริ่มเข้าสู่ระยะทรงตัว ไม่พุ่งแรง แต่ยังคงมีการแข่งขันสูงต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีจำนวนสิทธิบัตรนวัตกรรมดังกล่าวสูง ได้แก่ จีน (ครองสิทธิบัตรมากที่สุด มากกว่า 1,500 ฉบับ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา) ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และเกาหลีใต้ ขณะที่ประเทศที่น่าจับตาในตลาดนี้ ได้แก่ อินเดีย ซึ่งมีการเติบโตสูงกว่า 26% ต่อปี และฟิลิปปินส์ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นางอรมน กล่าวว่า แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมดังกล่าวเริ่มอยู่ในระยะทรงตัว แต่เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด จะพบ 4 เทคโนโลยีกลุ่มย่อยที่กำลังมาแรงหรือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่


(1) โปรตีนจากพืชและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Plant-based Proteins & Bioactive Compounds) ซึ่งเคยถึงจุดอิ่มตัว ก่อนกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังช่วงโควิด-19 จากเทรนด์รักสุขภาพทั่วโลก นโยบายสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์โดยสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยเป็นผู้ถือสิทธิบัตรหลักมากกว่าภาคเอกชน ส่งผลให้ในภาพรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 2,100 – 2,900 ฉบับต่อปี

(2) โภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition) อยู่ในระยะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบสูตรอาหารหรืออาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล โดยสาขานี้มีผู้เล่นหลากหลาย ทั้งบริษัทยาชีวภาพ และสถาบันวิจัย รวมผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 800 – 900 ฉบับต่อปี ตัวอย่างเช่น ระบบห้องครัวอัจฉริยะ การปรับเวลา อุณหภูมิ และสูตรอาหารเฉพาะบุคคล

(3) เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation Technology) คือกระบวนการใช้จุลินทรีย์เปลี่ยนวัตถุดิบอาหารให้มีคุณสมบัติใหม่ ทั้งในแง่เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและการปรับรสชาติอาหารให้ดีขึ้น ปัจจุบันถูกพัฒนาสู่เทคนิคขั้นสูง เพื่อสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ภาพรวมของตลาดนี้อยู่ในช่วงอิ่มตัวหากมองในเชิงปริมาณ ซึ่งมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 – 300 ฉบับต่อปี แต่มีการแข่งขันในเชิงคุณภาพนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของโลกที่มีสิทธิบัตรด้านการหมักจำนวนมาก เนื่องจากมีวัตถุดิบและองค์ความรู้ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การหมักสมุนไพรจีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา

(4) เทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ (3D Food Printing and Precision Nutrition) นับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้ในการออกแบบอาหารโดยการขึ้นรูปทีละชั้น ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโครงสร้างซับซ้อนหลากหลายรูปทรง และสามารถเติมสารอาหารต่างๆ เข้าไป เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและควบคุมปริมาณองค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างละเอียดและแม่นยำ เช่น การพิมพ์แท่งอาหารที่ปรับสัดส่วนโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินให้ตรงความต้องการของนักกีฬาแต่ละคน การพิมพ์อาหารบดสำหรับผู้สูงอายุที่เคี้ยวยาก พร้อมเสริมสารอาหารที่จำเป็นอย่างแคลเซียมและโพรไบโอติกลงไปได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น นวัตกรรมดังกล่าวมีโอกาสขยายตัวสูง โดยมีทั้งบริษัทยาและแบรนด์อาหารระดับโลกเข้ามาร่วมพัฒนา ผู้เล่นในเทคโนโลยีนี้เชื่อมโยง 3 วงจรนวัตกรรม ตั้งแต่งานวิจัยต้นน้ำ เทคโนโลยีดิจิทัลกลางน้ำ และแบรนด์อาหารปลายน้ำ รวมผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 – 300 ฉบับต่อปี

สำหรับโอกาสและทิศทางของไทย กรมฯ มองว่า “Future Food” ไม่ใช่เพียงกระแส แต่เป็นสนามแข่งขันระดับโลกที่ไทยต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาประเภท “สิทธิบัตร” เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์)ที่ผลักดันการเสริมแกร่งให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs

ทั้งนี้ ไทยมีจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นที่หลากหลาย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถจับมือกับมหาวิทยาลัยและสตาร์ทอัพ เพื่อบ่มเพาะนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ เช่น การวิจัยเพื่อค้นหาสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ จากพืช อาทิ กระชายที่ช่วยต้านการอักเสบ ใบบัวบกที่ช่วยเสริมความจำ รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมการหมักเพื่อต่อยอดสินค้า GI ในกลุ่มอาหารและพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพ แปลงเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ไปได้ไกลในตลาดโลก

นอกจากนี้ ควรมีการปรับแนวคิดในภาคอุตสาหกรรมไทย จากการ “ผลิตมากเพื่อขายวัตถุดิบ” เป็น “คิดวิจัยให้มากเพื่อขายสิทธิบัตร” เพื่อให้คนไทยเป็นเจ้าของนวัตกรรมที่โลกต้องการ นางอรมน กล่าว

ทั้งนี้ สถิติคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตในไทย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีการยื่นคำขอสิทธิบัตร 190 คำขอ (ต่างชาติ 157 คำขอ และไทย 33 คำขอ) และคำขออนุสิทธิบัตร 470 คำขอ (ต่างชาติ 29 คำขอ และไทย 441 คำขอ) สำหรับสถิติการจดทะเบียน มีการจดทะเบียนสิทธิบัตร 93 ฉบับ (ต่างชาติ 89 ฉบับ และไทย 4 ฉบับ) และจดทะเบียนอนุสิทธิบัตร 163 ฉบับ (เป็นของคนไทยทั้งหมด) โดยกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรม

นางอรมน กล่าวว่า เป้าหมายที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาจัดให้มีช่องทางเร่งรัด (Fast Track) ในการจดทะเบียน จากทั่วไปที่ใช้ระยะเวลาเฉลี่ยของการจดทะเบียนสิทธิบัตรอยู่ที่ 38.5 เดือน นับจากวันยื่นขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ จะเหลือใช้เวลาเพียง 12 เดือน และอนุสิทธิบัตรจาก 12 เดือน เหลือ 6 เดือน ซึ่งในปี 2568 มีผู้ยื่นคำขอใช้ช่องทาง Fast Track 18 คำขอ และกรมได้จดอนุสิทธิบัตรให้แล้วจากช่องทางนี้ 16 ฉบับ เช่น ไอศกรีมนมอัลมอนด์เสริมโปรตีนจากจิ้งหรีด สารสกัดต้านอนุมูลอิสระ ข้าวเหนียวกึ่งสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์คล้ายเนื้อสัตว์ และสูตรผสมจุลินทรีย์โพรไบโอติก เป็นต้น

-031

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top