วันพฤหัสบดี ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568
นายศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 94.56 ขยายตัว 1.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 58.13% เนื่องจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การผลิตรถยนต์กลับมาขยายตัวอีกครั้งอยู่ที่ 5.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงการท่องเที่ยวของคนในประเทศขยายตัวเนื่องจากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การปรับลดค่าไฟฟ้าและโครงการคุณสู้เราช่วยเฟส 2 เป็นต้น ขณะที่ ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 93.36 หดตัว 2.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57.39%
สำหรับปัจจัยที่กดดันภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเพิ่มเติมจากไทยที่ 19% แต่สหรัฐฯ ยังมีการทบทวน เก็บภาษีนำเข้ารายสินค้าเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าไม้ ยา เฟอร์นิเจอร์ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากกระแสเงินทุนไหลเข้าและทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยสูงขึ้นในตลาดโลก กระทบความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาใกล้เคียงกัน โดยอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบน้อยและมีสัดส่วนการส่งออกมาก เป็นกลุ่มที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ เป็นหลักและมีการส่งออกมาก จึงได้รับผลกระทบจากรายรับจากการส่งออกที่น้อยลง รวมถึงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก กระเป๋าเดินทาง รองเท้ากีฬา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ด้านระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนตุลาคม 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยในประเทศโดยรวมส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่น ด้านคำสั่งซื้อที่ปรับตัวลดลง ด้านปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังลดลง จากภาคการผลิตในภูมิภาคอาเซียนเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวและการผลิตปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ภาคการผลิตของสหภาพยุโรปยังคงซบเซา
“ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติดำเนินโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2568 และแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคจะมีกลุ่มสินค้าและบริการที่สามารถใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม บริการขนส่งสาธารณะ รวมถึงซื้ออาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ในเบื้องต้น สศอ. ประเมินว่า ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว โดยคาดว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.1% หรือขยายตัวประมาณ 15,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ผลของนโยบายอาจจะขยายตัวได้มากกว่านี้ หากรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนในการยกระดับอุปสงค์รวมของประชาชนในประเทศอย่างต่อเนื่องเพิ่มเติมควบคู่กับมาตรการข้างต้น” นายศุภกิจ กล่าว
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ ขยายตัว 5.57% ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัว 3.56% ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัว 9.40% ขณะที่อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เครื่องจักรอื่นๆที่ใช้งานทั่วไป ลดลง 23% กาแฟ ชา และสมุนไพรผงสำหรับชงเป็นเครื่องดื่ม ลดลง 85.15% ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ ลดลง 8%
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี