พาณิชย์ผนึกกำลังภาครัฐ–เอกชน จัดการสินค้าไร้คุณภาพ-การค้าไม่เป็นธรรม-สวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า

พาณิชย์ผนึกกำลังภาครัฐ–เอกชน จัดการสินค้าไร้คุณภาพ-การค้าไม่เป็นธรรม-สวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า

วันเสาร์ ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 16.09 น.

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ตนได้เป็นประธานการประชุมหารือระหว่างภาครัฐ–เอกชน เพื่อสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวรองรับมาตรการทางการค้า โดยมีหมุดหมายสำคัญของการสร้าง “พันธมิตรการค้าแห่งชาติ” ภายใต้แนวคิด “รวมพลัง เสริมแกร่ง สู่ความยั่งยืน : Synergy for Sustainability”

การประชุมครั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ จำนวน 6 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย และภาคเอกชน จำนวน 5 หน่วยงาน ได้แก่ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เข้าร่วมประชุม รับฟังความคืบหน้า ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว


โดยในการหารือมุ่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการปกป้องและตอบโต้ทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม การบังคับใช้กฎหมายเพื่อสกัดกั้นสินค้านำเข้าที่ผิดกฎหมาย โครงการเพิ่ม Local Content ไทยสู่ตลาดสหรัฐฯ (RVC-UP) ตลอดจนแผนทำงานร่วมกันเพื่อรับมือความท้าทายในระบบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

“วันนี้เป็นความตั้งใจในการผลักดันความร่วมมืออย่างจริงจัง เรากำลังเผชิญกับสภาวะการค้าของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เราต้องปรับตัว ต้องเข้มแข็ง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน วันนี้มีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร สมาคมต่างๆ รวมถึงภาคเอกชนที่ร่วมให้ความเห็นและรับฟังความคืบหน้านโยบาย ถือเป็นการร่วมมือกันจัดการกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่”นางศุภจี กล่าว

สำหรับปัญหาที่ไทยต้องเร่งจัดการร่วมกันมี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.สินค้าราคาถูก ด้อยคุณภาพ และผิดกฎหมาย โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่เสี่ยงต่อมาตรฐานและความปลอดภัยของประชาชน 2.การนำเข้าสินค้าที่แข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม สร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม และ 3.การสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (Transshipment) กระทบต่อขีดความสามารถและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย

นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้รับฟังผลความคืบหน้าที่ชัดเจน ทั้งการคัดกรองสินค้านำเข้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพทะลักเข้าประเทศ และการพัฒนาระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อสกัดการสวมสิทธิ พร้อมเดินหน้ายกระดับมาตรฐานการควบคุมสินค้าในทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้ประชาชนได้รับสินค้าที่ดี มีคุณภาพ และปลอดภัย โดยสินค้านำเข้าต้องอยู่ในมาตรฐานเดียวกับผู้ผลิตไทย ซึ่งในรายละเอียดแผนงาน หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะรับไปขับเคลื่อนต่อในการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 9 ธันวาคม 2568 ณ กระทรวงการคลัง โดยมี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน

ในการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการประกาศจุดยืนร่วมกันสร้างระบบการค้าไทยที่โปร่งใส เป็นธรรม และแข่งขันได้อย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ควบคู่กับการยกระดับความรู้แก่ผู้ประกอบการ อำนวยความสะดวกทางการค้า และปรับปรุงมาตรฐานเพื่อลดอุปสรรคไม่จำเป็น ขณะที่เอกชนจะร่วมพัฒนาคุณภาพสินค้า เทคโนโลยีการผลิต และเพิ่มการใช้วัตถุดิบไทย (Local Content) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของประเทศในห่วงโซ่อุปทานโลก

นางกิจจาลักษณ์ ศรีนุชศาสตร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร กล่าวถึงมาตรการควบคุมสินค้าออนไลน์ว่า กรมศุลกากรได้เชิญตัวแทนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเข้าหารือและขอความร่วมมือให้แจ้งข้อมูลการขายมายังกรมศุลกากรโดยตรง เพื่อป้องกันการหลุดรอดของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน พร้อมขอให้สินค้าที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มผ่านการตรวจสอบอย่างถูกต้อง หากสินค้าใดไม่ผ่านมาตรฐานจะไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ

นอกจากนี้กรมศุลกากรกำลังปรับระบบภาษีศุลกากรใหม่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 จะเริ่มจัดเก็บภาษีศุลกากรนำเข้าตั้งแต่บาทแรก จากเดิมที่เก็บเฉพาะสินค้ามูลค่าเกิน 1,500 บาท เพื่อปิดช่องว่างสินค้าราคาถูกคุณภาพต่ำหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศ ทำให้หลังจากนี้สินค้าราคาตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป จะเข้าข่ายต้องชำระภาษีศุลกากรนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งภาษีสรรพสามิต

นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้ฟังวิธีคิดและการทำงานของกระทรวงพาณิชย์แล้วมีความมั่นใจ และเห็นว่าความเห็นของเอกชนได้รับการตอบรับอย่างจริงจัง ทีมงานรู้ปัญหาและการเคลื่อนไหวของเอกชนดี ถือเป็นมิติใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ สินค้าอีคอมเมิร์ซที่เข้าประเทศต้องผ่านมาตรฐานต่างๆของไทย เช่น มอก. ,อย. พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันควบคุมเพื่อปกป้องผู้ประกอบการไทย

-033

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top