วันศุกร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ศูนย์ข่าวพลังงาน (ENC) ครบรอบ 10 ปี จัดสัมมนา “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” รัฐมนตรีพลังงาน ยืนยันนโยบาย Quick Big Win พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้รองรับการเปลี่ยนผ่านและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ปลัดพลังงาน ย้ำเพิ่มการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของไทย (PDP) ฉบับใหม่ ดันเป้าหมาย Net Zero ให้ได้ในปี ค.ศ. 2050
สำนักข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน (Energy News Center - ENC) จัดสัมมนา “ความท้าทายพลังงานไทย เปลี่ยนผ่านอย่างไรให้ยั่งยืน” เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปีของศูนย์ข่าวพลังงาน โดยมี นาย อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน, นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.), นายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย, นายนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ร่วมสัมมนา
.jpg)
นายวัชรพงศ์ ทองรุ่ง บรรณาธิการบริหารศูนย์ข่าวพลังงาน ( Energy News Center – ENC) กล่าวว่า เนื่องในวาระครบรอบ 10 ปี ของศูนย์ข่าวพลังงาน ซึ่งเป็นสื่อที่ติดตามความเคลื่อนไหวและรายงานข้อมูลข่าวสารด้านพลังงานมาโดยตลอด ได้มองเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (energy transition ) ของประเทศ จากฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด และเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายใหม่ Net Zero Emission 2050 ว่าจะทำได้อย่างไรจึงจะเกิดความยั่งยืน สมดุลในสามมิติ ทั้งความมั่นคงพลังงาน ราคาพลังงานที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อม จึงได้งานสัมมนาขึ้นในครั้งนี้ โดยมีวิทยากรที่มีความรู้ ประสบการณ์ ทั้งในภาครัฐที่กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน และภาควิชาการ มาช่วยนำเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะ เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศเพื่อให้เกิดความสมดุลในสามมิติดังกล่าวได้อย่างแท้จริง
.jpg)
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งจากความไม่มั่นคงทางพลังงานระดับโลก ภัยคุกคามทางไซเบอร์ และแรงกดดันจากการเร่งปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากปี ค.ศ. 2065 เป็นปี ค.ศ. 2050 เพื่อตอบโจทย์นี้ กระทรวงพลังงานจึงได้นำเสนอนโยบาย Quick Big Win ด้านพลังงานผ่านโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้รองรับการเปลี่ยนผ่านและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ผ่านมาตรการต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1 ล้านล้านบาท และทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยเร่งผลักดัน 3 มาตรการ 10 แผนโครงการ ได้แก่
มาตรการที่ 1 โซลาร์เพื่อประชาชน
-โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน เป้าหมายกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนได้กว่า 30,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 1,785 ตำแหน่ง และยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.919 ล้านตันต่อปี
-โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร ตั้งเป้าหมายดำเนินการ 250 ระบบ แบ่งเป็นระบบนำร่อง 50 ระบบ และระบบขยายผล 200 ระบบ ประชาชนจะได้รับประโยชน์ 439 ล้านบาทต่อปี เกิดการจ้างงาน 3,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.001 ล้านตันต่อปี
-โครงการโซลาร์ภาครัฐ ส่งเสริมพลังงานสะอาดลดภาระงบประมาณค่าสาธารณูปโภคค่าไฟฟ้า คาดว่าหน่วยงานภาครัฐจะประหยัดค่าสาธารณูปโภค 9,000 ล้านบาทต่อปี
-โครงการส่งเสริมโซลาร์รูฟท็อปด้วยมาตรการภาษี ตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วม 90,000 ครัวเรือน กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุน ได้ 19,800 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 448 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 0.26 ล้านตันต่อปี
-โครงการโซลาร์สูบน้ำระบบประปาหมู่บ้าน เป้าหมาย 5,000 ระบบ ลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าและเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
-โครงการโซลาร์ลอยน้ำใน 3 เขื่อนหลัก กฟผ. (เขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์) ซึ่งมีต้นทุนต่ำ กำลังการผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ ช่วยให้ต้นทุนไฟฟ้าถูกลง เกิดการจ้างงาน 5,052 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 0.824 ล้านตันต่อปี
มาตรการที่ 2 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ “มาตรการ Direct PPA” การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานรองรับภาคอุตสาหกรรม ได้เร่งดำเนินการ “โครงการสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะอาดตรง” หรือ Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ รองรับอุตสาหกรรม Data Center คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุน 60,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 3,094 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 1.66 ล้านตันต่อปี
-การพัฒนาระบบส่งระบบจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ EECคาดว่าจะรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้า 3,800 เมกะวัตต์ กระตุ้นการลงทุน 580,000 ล้านบาท และเกิดการจ้างงาน 4,500 ตำแหน่ง โดยให้ กฟผ.เป็นผู้ลงทุน และข้อมูลที่ได้จาก BOI พบว่า มีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้กับธุรกิจ Data Center ประมาณ 30-40 แห่งแล้ว
มาตรการที่ 3 สร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว รองรับ Net Zero Emission 2050 ประกอบด้วย
-การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ ซึ่งได้จัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาดำเนินการ พร้อมสั่งการให้ดำเนินการจัดทำแผนแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน หรือเสร็จสิ้นประมาณเดือน ม.ค. 2569 โดยแผนPDP ฉบับใหม่ต้องตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero Emission 2050 ซึ่งอาศัยหลายปัจจัย ทั้งการขับเคลื่อนพลังงานสะอาด การสร้างสมดุลพลังงานเสถียร ดูเรื่องเทคโนโลยีพลังงานใหม่ๆ เช่น ไฮโดรเจน – แอมโมเนีย ที่ได้ประกาศเป็นเชื้อเพลิงแล้ว ซึ่งต่อไปจะมีมาตรการออกมารองรับการขนส่ง และมาตรฐานความปลอดภัย นอกจากนี้ยังศึกษาเรื่องของเทคโนโลยี SMR ด้วย
-พัฒนาการดักจับ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ซึ่งตั้งเป้าหมายกักเก็บคาร์บอนจากแหล่งอาทิตย์ 1 ล้านตันต่อปี และกักเก็บคาร์บอน แหล่งอ่าวไทยตอนบน 10 ล้านตันต่อปี คาดว่ากระตุ้นการลงทุน 540,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 11,000 ตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 228 ล้านตันต่อปี (รวม 2 แหล่ง)
“ล่าสุด ท่านนายกฯ ของไทย ได้เดินทางไปพบกับนายกฯ สิงคโปร์ ซึ่งได้แสดงความสนใจโครงการ CCS ของไทย จึงถือเป็นโอกาสที่ดี หากทางสิงคโปร์จะร่วมลงทุนในโครงการ CCS เพราะเป็นโครงการลงทุนที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท ขณะเดียวกันทางมาเลเซีย ก็เริ่มสำรวจพื้นที่เพื่อเตรียมดำเนินโครงการ CCS เช่นกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการแข่งขันในโครงการ CCS ถ้าไทยผลักดันโครงการให้เกิดขึ้นได้ ก็เป็นโอกาสในอนาคต โดยปัจจุบันก็เริ่มนำร่องด้วยโครงการของ ปตท.สผ. ที่ต้องปรับปรุงกฎระเบียบต่าง และเดินหน้านำเรือจากญี่ปุ่นเข้ามาสำรวจพื้นที่ให้ได้เพื่อให้โครงการเกิดขึ้นได้จริง”
.jpg)
นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน บรรยายในหัวข้อ "ภาพรวมความท้าทายพลังงานไทย" โดยระบุว่า การกำหนดนโยบายของกระทรวงพลังงาน ยึดหลักสำคัญ 3 ด้าน ที่ต้องคำนึงควบคู่กันเพื่อออกนโยบายที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศ ได้แก่ ด้านความมั่นคงทางพลังงาน, พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และพลังงานคาร์บอนต่ำ โดยเร่งจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ให้เสร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งจะต้องจัดทำพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าใหม่ ให้สอดคล้องกับโหลดไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปรองรับธุรกิจ EV, Data Center, AI, IOT, Robotic โดยคาดว่า Data Center จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้า 4 กิกวัตต์ (GW) ภายในปี 2580 จากปัจจุบัน Data Center ใช้ไฟฟ้า 0.12 GW
ดังนั้น แผน PDP ฉบับใหม่ จะต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น รวมถึงปรับเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเทคโนโลยี Small Modular Reactors (SMR) ให้เพิ่มขึ้นจากแผนเดิมตั้งเป้าไว้ 600 เมกะวัตต์ ในปี 2580 แต่จะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น ยังต้องศึกษาข้อมูลที่เหมาะสม อีกทั้งควรเปิดกว้างโอกาสการลงทุนนอกเหนือจากการดำเนินการเฉพาะ กฟผ. ซึ่งในช่วง 5 ปีแรก ควรเร่งวางกฎกติกาออกมาให้ชัดเจน และประสานงานร่วมกับหลายกระทรวง โดยกระทรวงพลังงานจะต้องตั้งคณะทำงานฯ 4 อนุกรรมฯ ขึ้นมาศึกษาพิจารณาเรื่องกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและเทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมถึงพิจารณาว่าจำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรศูนย์กำกับดูแลแบบรวมศูนย์ หรือ แยกกันด้วย
.jpg)
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) บรรยายในหัวข้อ “แผน PDP ใหม่ตอบโจทย์อนาคตพลังงานประเทศ” ว่า กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ หรือ PDP ฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในปี 2569 โดยล่าสุดคณะอนุกรรมการพยากรณ์และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนายคุรุจิต นาครทรรพ และปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นรองประธานอนุกรรมการ) ได้เริ่มประชุมนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2568
ทั้งนี้แผน PDP ฉบับใหม่จะต้องตอบโจทย์ด้านพลังงานสะอาดและจำเป็นต้องเพิ่มพลังงานหมุนเวียน (พลังงานสีเขียว) กว่า 51% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ดังนั้นเห็นว่าโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactor : SMR เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเพิ่มในแผน PDP ใหม่ให้มากขึ้น จากร่างแผน PDP2024 ฉบับเดิม กำหนดให้มี SMR 600 เมกะวัตต์ พร้อมกันนี้ต้องพิจารณาพลังงานไฮโดรเจน และแอมโมเนีย รวมทั้งการนำเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) มาช่วยผลักดันไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2050
สำหรับแผน PDP ฉบับใหม่จะมีความชัดเจนมากขึ้นใน 6 ด้าน ได้แก่ 1. สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าระหว่างภาครัฐควรอยู่ 51%และเอกชน 49% หรือไม่ 2.ควรขยายหรือต่ออายุโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำของ สปป.ลาว ที่ใกล้จะหมดอายุหรือไม่ 3. SMR ควรเข้ามาในระบบเร็วขึ้นหรือไม่ 4.การเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (IPS) จำเป็นต้องมีไฟฟ้าสำรอง (Backup) ให้หรือไม่ 5.เกณ์ความมั่นคงไฟฟ้า (LPLE) 0.7 วันต่อปี ควรเพิ่ม-ลดอย่างไรและการกำหนดปริมาณไฟฟ้าสำรองอย่างไร 6.แนวคิดการเปิดตลาดเสรีควรมีความชัดเจนมากขึ้น และ 7.การจัดทำพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าควรให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนก่อน
ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ “ก๊าซธรรมชาติ เชื้อเพลิงหลักในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน” โดยระบุว่า ก๊าซฯ ยังเป็นเชื้อเพลิงที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปอีก 30-40 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน และประเทศไทยยังต้องพึ่งพาก๊าซฯ ในการผลิตไฟฟ้าสูงกว่า 60% ในขณะที่แหล่งก๊าซฯ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันผ่านการใช้งานมากกว่า 30 ปี เกิดประโยชน์ต่อประเทศและอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันปริมาณสำรองก๊าซฯของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนเข้าขั้นวิกฤติ ก๊าซฯ จากเมียนมาและ JDA ส่งมาไทยได้น้อยลง ต้องมีการนำเข้า LNG จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น และกระทบค่าไฟฟ้า รวมถึงจัดเก็บรายได้จากการผลิตปิโตรเลียมในประเทศลดน้อยลง กระทบงบประมาณแผ่นดิน อีกทั้งบริษัทผู้รับสัมปทานเริ่มชะลอการลงทุน ลดการจ้างงาน และถอนตัวไปลงทุนที่อื่น
ดังนั้นมีความจำเป็นในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อจัดหาแหล่งก๊าซฯ ในไทย โดยเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ แก้ไขปรับปรุงระบบค่าภาคหลวงและภาษีให้จูงใจลงทุน, บริหารจัดการแหล่งก๊าซฯ ในแปลงสัมปทานหมดอายุแต่ยังมีประสิทธิภาพในอ่าวไทย และเจรจาข้อยุติในเขตไหล่ทวีปในทะเลที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา (OCA)
-031
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี