ธุรกิจครอบครัวไทย เผชิญแรงกดดันจาก3เมกะเทรนด์

ธุรกิจครอบครัวไทย เผชิญแรงกดดันจาก3เมกะเทรนด์

วันศุกร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ข้อมูลจากรายงานผลสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลกครั้งที่12ฉบับประเทศไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายงานผลสำรวจธุรกิจครอบครัวทั่วโลกที่จัดทำโดย PwC ร่วมกับศูนย์ John L. Ward Center for Family Enterprises ของ Kellogg School of Management มหาวิทยาลัย Northwestern สำรวจผู้นำธุรกิจครอบครัว 1,325 รายใน 62 ประเทศและอาณาเขต รวมถึง 36 รายจากประเทศไทย พบว่าธุรกิจครอบครัวไทยได้รับผลกระทบจากสามเมกะเทรนด์หลัก ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ (69%) พฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง (53%) และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามการค้าและเสถียรภาพในประเทศ (44%)

นางสาว อมรรัตน์  เพิ่มพูนวัฒนาสุข  หัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจครอบครัว และหุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่าธุรกิจครอบครัวไทยกำลังเจอบททดสอบอย่างหนักจากแรงกดดันจากเมกะเทรนด์สำคัญๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการค้า รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้ปีที่ผ่านมาธุรกิจครอบครัวไทยบางส่วนยังเติบโตได้ในระดับตัวเลขสองหลัก แต่ธุรกิจอีกอีกจำนวนไม่น้อยที่ยอดขายลดลง สถานการณ์นี้มีทั้งโอกาสและอุปสรรค ธุรกิจที่มีความสามารถในการปรับตัวและความเข้าใจเชิงกลยุทธ์จึงจะอยู่รอดได้


รายงานล่าสุดระบุว่า ธุรกิจครอบครัวไทยส่วนใหญ่ยังคงยึดแนวทางการเติบโตแบบมั่นคงในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปตามกรอบอนุรักษนิยมของธุรกิจครอบครัว โดยยังขาดความตื่นตัวในการปฏิรูปธุรกิจเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งแตกต่างจากแนวโน้มทั่วโลกที่มีความกระตือรือร้นมากกว่า (ทั่วโลก 3% มีการขับเคลื่อนนวัตกรรมเชิงปฏิวัติ) ขณะเดียวกัน มีธุรกิจครอบครัวไทยเพียง 11% เท่านั้นที่ประกาศเจตจำนงอย่างชัดเจนในการผลักดันนวัตกรรมอย่างจริงจัง และมีการทบทวนกลยุทธ์การบริหารจัดการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในยุคใหม่

ธุรกิจครอบครัวไทยยังคงให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีและAI ต่ำกว่าทั่วโลกแม้ทั่วโลกจะตระหนักถึงบทบาทของเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์(artificial intelligence: AI) ในการผลักดันธุรกิจ แต่ธุรกิจครอบครัวไทยกลับให้ความสำคัญต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างชัดเจนโดยผลสำรวจพบว่า มีเพียง 36% ของผู้บริหารที่มองว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ เทียบกับทั่วโลกที่ 65%

ผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยไม่ถึงหนึ่งในสาม(33%)ที่เชื่อว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลและการนำระบบอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้จะเพิ่มโอกาสในการเติบโตได้ (เทียบกับ 64% ทั่วโลก) และมีเพียง 22% ที่ลงทุนเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและAI (เทียบกับ 39% ทั่วโลก)ขณะที่ปัจจุบันมีธุรกิจครอบครัวไทยเพียง3%ที่ทดสอบหรือใช้งานAIหรือปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง(generative AI: GenAI) ในองค์กร

ทั้งนี้ธุรกิจครอบครัวไทยที่สามารถปรับตัวตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่จะสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งและบรรลุผลลัพธ์เชิงพาณิชย์อย่างมีนัยสำคัญ โดย 44% ของธุรกิจกลุ่มนี้มียอดขายเติบโตเลขสองหลัก อย่างไรก็ตามมีเพียง 25% ของธุรกิจครอบครัวไทยที่ประเมินว่าตนเองมีความคล่องตัวในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง (เทียบกับ 34% ทั่วโลก)

ในด้านการให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและความไว้วางใจ ผลสำรวจพบว่า 58% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยระบุว่า การรักษาชื่อเสียงของธุรกิจครอบครัวนั้นมีความสำคัญมาก (เทียบกับ 78% ทั่วโลก) และ 44% มองว่าธุรกิจของพวกเขาได้รับความไว้วางใจและมีชื่อเสียงในสายตาของลูกค้า พนักงาน และคู่ค้ามากกว่าธุรกิจทั่วไป (เทียบกับ 74% ทั่วโลก) ขณะเดียวกัน 47% ยอมรับว่ามีความขัดแย้งภายในครอบครัวบ้างบางครั้ง (เทียบกับ 38% ทั่วโลก)

นางสาวอมรรัตน์เน้นย้ำว่าในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วธุรกิจครอบครัวไทยควรหันมาให้ความสำคัญกับความคล่องตัวเชิงโครงสร้างการลงทุนในนวัตกรรม เทคโนโลยีAI และการปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัลพร้อมกำหนดเป้าหมายธุรกิจที่ชัดเจนและวางแนวทางปกป้องชื่อเสียงควบคู่กับการสร้างความไว้วางใจในทุกมิติเพื่อสร้างโอกาสใหม่และเสริมศักยภาพการแข่งขันในอนาคต

“ในยุคที่เทคโนโลยีสมัยใหม่กำลังพลิกโฉมเศรษฐกิจโลกธุรกิจครอบครัวไทยจำเป็นต้องปรับวิสัยทัศน์และก้าวข้ามกรอบความคิดเดิมเริ่มจากการปรับโครงสร้างองค์กรให้คล่องตัวขึ้นแล้วต่อยอดด้วยการลงทุนในนวัตกรรมAIหรือเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาว ที่สำคัญควรกำหนดเป้าหมายธุรกิจให้ชัดเจนดูแลชื่อเสียงขององค์กรและสร้างความไว้วางใจทั้งกับสมาชิกในครอบครัวและกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายการขับเคลื่อนกลยุทธ์เหล่านี้ ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคงแต่ยังเปิดโอกาสและศักยภาพการแข่งขันใหม่ๆ ในอนาคตด้วย” นางสาวอมรรัตน์กล่าว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top