วันพุธ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กระทบจีดีพี0.1%
‘คลัง’ประเมินเซ่นน้ำท่วมใต้
มั่นใจไตรมาส4ยังโตได้อีก0.6
“เอกนิติ”เผยคลังประเมินน้ำท่วมใต้กระทบจีดีพี 0.1% มั่นใจไตรมาส 4 ปีนี้ จีดีพียังโตได้ถึง 0.6% ส่วนคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ยังศึกษาคู่กับการเยียวยาและฟื้นฟูน้ำท่วมภาคใต้ รับใช้งบฯกลางส่วนเดียวกัน เผยครม.ไฟเขียวฟื้นเอสเอ็มอีไทย อัดวงเงิน 3.27 แสนล้านบาท ปล่อยสินเชื่อ-ค้ำประกัน เร่งคืนภาษี 2 หมื่นราย
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงผลกระทบของอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้จะกระทบกับเศรษฐกิจตามการประเมินของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ที่ 0.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ทั้งหมด โดยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เทียบกับจีดีพีทั้งประเทศที่มี 20 ล้านล้านบาทนั้นไม่ได้ใหญ่มาก แต่กระทบกับชีวิตประชาชนมาก โดยมาตรการต่างๆที่ลงไปได้พยายามทำให้เศรษฐกิจฟื้นมาโดยเร็วที่สุด ส่วนหลังจากนี้ต้องมีการถอดบทเรียนเพื่อวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นในระยะยาว โดยภาพใหญ่ของจีดีพีของไทยในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะไม่กระทบมาก คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ประมาณ 0.6% หรือสูงกว่า ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
เมื่อถามว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังจะใช้การกระตุ้นผ่านมาตรการคนละครึ่งเฟส2 หรือไม่ นายเอกนิติ กล่าวว่า ขณะนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ยังให้นโยบายให้กระทรวงการคลังไปศึกษาความเป็นไปได้ของการทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้มาตรการคนละครึ่งเฟส2ควบคู่ไปกับการเยียวยาและฟื้นฟูอุทกภัยภาคใต้ ขณะนี้กระทรวงการคลังยังเดินหน้าศึกษาอยู่อย่างไรก็ตามยอมรับว่า งบประมาณที่จะได้มีข้อจำกัด เนื่องจากทั้งสองส่วนมาจากงบประมาณส่วนเดียวกันคืองบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็นเร่งด่วน พ.ศ.2569 โดยเมื่อมีความจำเป็นในเรื่องของอุทกภัยก็ต้องพิจารณาการเยียวยาเป็นหลัก เมื่อได้ข้อสรุปเกี่ยวกับนโยบายคนละครึ่งจะแจ้งให้ทราบ
นายเอกนิติ ยังเปิดเผยหลังประชุม ครม.ว่า ครม.เห็นชอบโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตามมาตรการ “Quick Big Win”เพื่อเอสเอ็มอีไทย ซึ่งเป็นเสาที่สามของนโยบาย Quick Big Win เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยได้มีลมหายใจ มีสภาพคล่อง ให้กลับมาแข็งแรง รวมเป็นวงเงิน 327,000 ล้านบาท ผ่าน 3 ด้าน ทั้งเสริมสภาพคล่อง เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสสร้างความเป็นธรรม สำหรับเรื่องที่ 1 เสริมสภาพคล่อง วงเงิน 217,000 ล้านบาท เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงสภาพคล่อง เพราะที่ผ่านมาธนาคารไม่ปล่อยกู้ โดยครั้งนี้ใช้วงเงินค้ำประกันจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) วงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยมีรัฐบาลออกค่าธรรมเนียมให้3ปีไปค้ำประกันให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย ออกแบบกองทุนค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี เพื่อมาเสริม บสย. ซึ่งรวมแล้วจะเสริมให้ธนาคารกล้าปล่อยเอสเอ็มอีมากขึ้น ถ้าปล่อยสินเชื่อแล้วมีหนี้เสียเอ็นพีแอล จะมี บสย.กับกองทุนค้ำประกันใหม่มาช่วย
ขณะเดียวกัน มีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) ผ่านธนาคารออมสิน ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 0.01% ให้กับธนาคารของรัฐและธนาคารพาณิชย์ ไปปล่อยสินเชื่อต่อให้เอสเอ็มอี คิดดอกเบี้ย 3.5% โดยมีธนาคารพาณิชย์ และธนาคารของรัฐ ขณะที่ยังให้มีการเร่งคืนภาษีให้กับเอสเอ็มอีไทย 20,000 ราย รวมเป็นเงิน 60,000 ล้านบาท เพื่อให้วงเงินเข้าสู่ระบบ เนื่องจากที่ผ่านมายังค้างคืนภาษีส่วนนี้ โดยจะเร่งคืนภาษีให้เอสเอ็มอีภายในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อช่วยให้ฟื้นคืนเอสเอ็มอีไทยให้ดีขึ้น
ส่วนเรื่องที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพ เมื่อได้สินเชื่อให้ทำธุรกิจง่าย ทำให้เอสเอ็มอีเข้าห่วงโซ่อุปทานของพี่ใหญ่ ผ่านมาตรการภาษีกรมสรรพากร เริ่มจากให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยช่วยเอสเอ็มอี เป็นพี่ช่วยน้อง และได้หักภาษี 1.5 เท่า เช่น ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เข้าไปวางไว้ในระบบพร้อมบิซ เมื่อเอสเอ็มอีขายของให้พี่ และออกบิล เดิมกว่าจะได้รับเงินนาน 3-6 เดือน แต่ครั้งนี้จะเอาไปวางพร้อมบิซ ทำห้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงการคลัง ธปท. สมาคมธนาคารไทย
พร้อมทั้งสนับสนุนให้เอสเอ็มอีไทยใช้เทคโนโลยี เอไอ ออโตเมชัน มีสินเชื่อผ่านธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ จับมือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เข้ามาช่วย และเงินอุดหนุนผ่านสองแหล่งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อลงทุนวิจัยพัฒนา
เรื่องสุดท้ายเรื่องที่ 3 ต้องการเพิ่มโอกาสเอสเอ็มอีไทย เพิ่มแต้มต่อ มีงบกลไกจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และกระทรวงพาณิชย์ สจัดตั้งอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม เพื่อสนับสนุนให้เอสเอ็มอีไทย รวมทั้งมีมาตรการสร้างความเป็นธรรมให้เอสเอ็มอี เก็บภาษีเอสเอ็มอีต่างประเทศ ตั้งแต่บาทแรก จากเดิมเก็บภาษีมูลค่าตั้งแต่ 1,500 บาท ป้องกันการตีตลาดเอสเอ็มอีไทย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมเอสเอ็มอีไทย ประเมินช่วยเศรษฐกิจ หรือจีดีพีเพิ่ม 0.4% จากเงินคืนภาษีและสินเชื่อเอสเอ็มอี ส่วนเสาแรกเงินเติมบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนละครึ่งพลัส จะช่วยจีดีพีสูงกว่า0.6% เชื่อว่าใกล้เคียง 1% ส่วนผลกระทบน้ำท่วมเพียง 0.1% ของจีดีพี กระทบภาพรวมไม่ได้มาก แต่กระทบชีวิตของคน
นายเอกนิติ กล่าวถึงกรณีการใช้งบประมาณกับการช่วยน้ำท่วม จะกระทบกับคนละครึ่งพลัสเฟส 2 หรือไม่นั้น ในเรื่องนี้นายกรัฐมนตรี ได้ให้ศึกษานโยบายเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนละครึ่งพลัสเฟส 2 โดยต้องดูงบประมาณ ตลอดเวลา เพราะงบประมาณมีจำกัด ต้องศึกษาควบคู่ในเรื่องนี้ไปด้วย
ขณะที่เรื่องการดึงเงินมาตรา 28 แห่งพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ มาใช้นั้น ปัจจุบันอยู่ในระดับ 29% ของจีดีพี ไม่เกินเพดาน32% ซึ่งยังมีพื้นที่ในการใช้เงิน แต่ไม่ได้เอามาใช้ทั้งหมด และยืนยันต้องใช้เงินอย่างมีวินัย ส่วนกระแสข่าวว่าจะใช้พรก.กู้เงิน มาดำเนินการนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีการพิจารณาใดๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี