วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เผยดูไบ ขึ้นแท่นเมืองที่มีความยืดหยุ่นระดับโลกอันดับที่ 4 และอาบูดาบี อันดับที่ 13 จากการจัดอันดับของ GCRI แนะไทยศึกษา นำมาปรับใช้ในการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้
นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจาก นายปิติชัย รัตนนาคะ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถึงผลสำรวจการสำรวจดัชนีวัดความพร้อมและความสามารถของเมืองในการรับมือและฟื้นตัวจากวิกฤตต่างๆ
ตามรายงานของ Global Cities Resilience Index (GCRI) โดยสถาบันที่ปรึกษาระดับโลก Kearney และสถาบัน Future Investment Initiative (FII) เกี่ยวกับเมืองดูไบ ที่ขึ้นแทนเป็นเมืองที่มีความยืดหยุ่นระดับโลกอันดับที่ 4 และอาบูดาบี อันดับที่ 13 ประจำปี 2568
ทั้งนี้ทูตพาณิชย์ได้รายงานว่า GCRI ได้จัดอันดับให้รัฐดูไบเป็นเมืองที่มีความยืดหยุ่นอันดับ 4 ของโลก และกรุงอาบูดาบีอยู่อันดับที่ 13 สะท้อนถึงบทบาทของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ในการเป็นแบบอย่างระดับโลกด้านการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนและอนาคต พร้อมทั้งเป็นมาตรฐานให้นานาประเทศนำไปปรับใช้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี
สำหรับ GCRI เป็นดัชนีที่วัดความพร้อมและความสามารถของเมืองในการรับมือและฟื้นตัวจากวิกฤตต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีการประเมินและจัดอันดับเป็นประจำทุกปีจาก 31 เมืองใหญ่ทั่วโลก ดัชนีนี้ประเมินความยืดหยุ่น (Resilience) โดยพิจารณาจาก 5 มิติหลักสำคัญ ได้แก่ การกำกับดูแล สินเชื่อและธุรกิจที่ยั่งยืน เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทุนมนุษย์ และการบูรณาการระดับโลก โดยเมืองที่ติดอันดับสูงสุด คือ ลอนดอน อัมสเตอร์ดัม และนิวยอร์ก ตามด้วยดูไบและโทรอนโต ซึ่ง UAE ติดโผเมืองแถวหน้า 2 แห่ง สะท้อนยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งสร้างความยืดหยุ่นระยะยาวโดยเน้นนวัตกรรมโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายสังคมแบบมีส่วนร่วม และการกำกับดูแลที่ก้าวทันอนาคต
สำหรับจุดแข็งของดูไบ มีการวางแผนและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และส่งเสริมสตาร์ตอัพและผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม ผ่านนโยบาย Smart City ระดับชาติและโครงการขนาดใหญ่ที่สนับสนุนระบบขนส่งอัจฉริยะ บริการออนไลน์ของภาครัฐ และโครงสร้างที่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในชีวิตประจำวัน และมีการดึงดูดและรักษาบุคลากรทักษะความสามารถสูง เปิดโอกาสวิจัยและพัฒนาในหลายสาขา เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เมืองอัจฉริยะ พลังงานสะอาด ทำให้ดูไบเป็นต้นแบบการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการสร้างความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
โดยโครงการเทคโนโลยีสำคัญของดูไบที่ประสบความสำเร็จและเป็นต้นแบบระดับโลก ได้แก่ โครงการ Dubai Smart City เน้นเปลี่ยนดูไบเป็นเมืองอัจฉริยะ เช่น ระบบขนส่งอัจฉริยะ ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินอัตโนมัติ เมืองไร้กระดาษ และ Open Data Platform ที่ให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ , Mohammed bin Rashid Al Maktoum Solar Park โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ,“The Sustainable City” ชุมชนต้นแบบ Net Zero Energy รายแรกในภูมิภาคที่ใช้พลังงานทดแทน 100% ,ระบบขนส่งสาธารณะอย่าง Dubai Metro ที่ใช้ระบบรางอัตโนมัติไร้คนขับเต็มรูปแบบ และ Dubai Reefs โครงการฟื้นฟูมหาสมุทรและแนวปะการังทางทะเล
“โครงการเหล่านี้ ทำให้ดูไบได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเมืองอัจฉริยะและนวัตกรรมของโลก ทั้งในมิติเมืองดิจิทัลสีเขียว และบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งไทยสามารถที่จะพิจารณาโครงการที่ประสบความสำเร็จดังกล่าวมาใช้เป็นต้นแบบในการพัฒนาเมืองของไทยได้ต่อไป”นางสาวสุนันทา กล่าว
-033
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี