วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าธปท. ได้สั่งการให้สถาบันการเงิน (สง.) เพิ่มความเข้มงวดธุรกรรมขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าของกลุ่มผู้ค้าทองคำซึ่งอาจส่งผลเพิ่มความผันผวนของค่าเงินบาท โดยให้ สง. ต้องเรียกตรวจหลักฐานการขายทองกับคู่ค้าต่างประเทศจากร้านทองทุกธุรกรรม นอกจากนี้ ยังต้องเรียกเอกสารเรียกเก็บเงินและใบขนทองคำภายใน 2 วันทำการ นับจากวันที่ร้านทองส่งมอบเงินตราต่างประเทศด้วยเพื่อให้มั่นใจว่า การขายเงินตราต่างประเทศเกิดจากการส่งออกทองคำจริง
ขณะเดียวกันธปท. อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดยเสนอให้ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ต้องรายงานข้อมูลธุรกรรมที่เกี่ยวข้องให้ ธปท. รับทราบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามธุรกรรม ประเมินผลกระทบต่อค่าเงินบาท และพิจารณานโยบายที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมต่อไป
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.40-32.00 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 31.61 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 31.61-31.92 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือน เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญยกเว้นเงินเยน หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 3.50-3.75% พร้อมประกาศมาตรการ Reserve Management Purchases ผ่านการซื้อตราสารระยะสั้นมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
สำหรับสัปดาห์นี้ กรุงศรีโกลบอลมาร์เก็ตส์ระบุว่า เปิดสัปดาห์เงินบาทซื้อขายใกล้ระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปี นักลงทุนจะติดตามข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพฤศจิกายนของสหรัฐฯ หลังประธานเฟดเน้นย้ำถึงความเสี่ยงด้านลบต่อภาคแรงงาน นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 0.75%
ส่วนปัจจัยในประเทศคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะลดดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธันวาคม ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และภาวะการเงินตึงตัวสำหรับกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ แรงส่งของเศรษฐกิจอาจแผ่วลงเร็วกว่าคาดเล็กน้อยอีกทั้งพื้นที่ทางการคลังถูกจำกัดภายใต้รัฐบาลรักษาการ ทำให้เครื่องมือดอกเบี้ยนโยบายจำเป็นต้องมีบทบาทมากขึ้นในการประคองความเชื่อมั่น
สอดคล้องกับความเห็นของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดว่าการประชุมกนง. ในครั้งนี้ที่ประชุมจะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 1.25% ท่ามกลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นจากผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ ความตึงเครียดชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และการยุบสภา
อย่างไรก็ดี มติในการประชุมครั้งนี้อาจออกมาไม่เป็นเอกฉันท์เช่นเดียวกับในการประชุมครั้งก่อนหน้า โดยเสียงส่วนน้อยอาจยังสนับสนุนให้คงดอกเบี้ย เพื่อรอดูผลของการส่งผ่านนโยบายต่อภาคเศรษฐกิจจริง พร้อมให้ความสำคัญกับจังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบายท่ามกลาง policy space ที่มีจำกัดขึ้น ในปี 2569 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า กนง. จะทำการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี ท่ามกลางทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงจากปีนี้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี