** ด้วยภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ อย่าว่าแต่ชาวบ้านร้านตลาดเลยที่ต้องเหนื่อยหนักกับการหารายได้...แม้แต่กระทรวงการคลัง เองก็หนักหนาอยู่กับการหาเงินให้พอกับความต้องการใช้เงินของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายการเมือง...ล่าสุดก็น่าจะต้องเตรียมแบกรับภาระทางการคลังเพิ่มอีกอย่างน้อยปีละ 1 หมื่นล้านบาท...หลังจากรัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมกำลังจะเร่งเดินหน้านโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย”...ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในโครงการ “ประชาชนนิยม”ที่คาดหวังคะแนนนิยมทางการเมือง...ด้วยการใช้เงินงบประมาณไปอุดหนุนและชดเชยให้ผู้ประกอบการ หวังจะได้เอาไปหาเสียงได้กับคนที่ใช้รถไฟฟ้าในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่อาจจะมีขึ้นในไม่ช้านี้...!! แน่นอนว่างานนี้...คุณปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร...ก็คงต้องทำงานหนักขึ้นในการหารายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น...และกรมสรรพากรก็ยังคงเป็นกรมจัดเก็บเดียวที่ยังหารายได้ตามเป้า....ส่วน กรมสรรพสามิต ก็ไม่ใช่งานง่ายสำหรับ ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต...ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นผู้บริหารที่ฝีมือดีมากๆคนหนึ่ง...แต่ขณะนี้ภาษีสรรพสามิตก็ถูกกดดัน...จากภาษียาสูบ ภาษีรถยนต์ ที่ลดลง...ครั้นจะไปขึ้นภาษีสุรา ภาษีเบียร์ แม้ว่าจะมีเพดานให้ขยับขึ้นได้...แต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะทำ ถึงแม้อยากจะทำก็ตาม (ก็รู้ๆกันอยู่เน๊อะว่าเพราะเหตุใด)...ส่วนภาษีศุลกากร...อันนี้โดยธรรมชาติก็เก็บได้ไม่เยอะอยู่แล้ว เพราะไทยมีข้อตกลงการค้าเสรีกับหลายประเทศ หลายกลุ่ม...ยิ่งไทยเพิ่มข้อตกลงทางการค้ามากขึ้นเท่าใด ภาษีนำเข้าก็หายไปมากเท่านั้น...แม้เราจะส่งออกได้มาก ก็มีการขอคืนภาษีส่งออกอยู่ดี...!!มาถึงตรงนี้ ในเมื่อหาทางการเก็บภาษีเพิ่มไม่ง่าย...อีกหนทางหนึ่งที่พอมีก็คือ ทั้ง 3 กรมจัดเก็บภาษี ก็ต้องพยายามอุดช่องโหว่และกำจัดจุดรั่วไหลให้ได้มากที่สุด...ก็เห็นกันอยู่ตอนนี้ก็มีความพยายามจะหลบเลี่ยงภาษีหลายรูปแบบ...ทั้งที่แบบผิดกฎหมาย และถูกกฎหมาย ที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย (ที่เห็นกันไม่นานมานี้ก็กรณีการใช้ตั๋ว P/N)…คงต้องฝากให้อธิบดีกรมสรรพากรกล้าหาญที่จะทำเรื่องนี้ด้วย...เหมือนกับที่พยายามเร่งจัดการกับพวกที่ทำใบกำกับภาษีปลอม...และการหาช่องเก็บภาษีจากคนธรรมดาๆทุกคนที่มีรายได้...**

** อนันตเดช พงษ์พันธุ์**