คุยกับ “แดเนียล บรูห์ล” ดาราหนุ่มมากความสามารถ
ขอพลิกบทบาทเป็นผู้ก่อการร้ายในภาพยนตร์เขย่าขวัญ
สร้างจากภารกิจชิงตัวประกันในตำนาน 7 Days in Entebbe
แดเนียล บรูห์ล นักแสดงหนุ่มมากฝีมือผู้มีผลงานอันโด่งดังมากมายทั้งภาพยนตร์และหนังทีวี โดยเฉพาะกับบทในหนังดราม่าเรื่อง Rush (2013) ของผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด-Ron Howard ซึ่งทำให้เข้าเข้าชิงรางวัลต่างๆมากมาย ทั้งลูกโลกทองทำ, BAFTA, SAG และ Critics’ Choice Awards ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ทว่าก่อนหน้านั้น เขาเป็นนักแสดงที่ถูกจับตามองจากบทตัวประกอบที่โผล่ออกมาขโมยซีนใน Inglorious Basterds ของผู้กำกับ เควนติน ตารันติโน่-Quentin Tarantino
ก่อนหน้าจะเดินทางมาฮอลลีวู้ด บรูห์ลเป็นนักแสดงที่โด่งดังมากมายในทวีปยุโรปจากบทนำในหนังเรื่อง Good Bye Lenin! (2003) ซึ่งเขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวที European Film Award และ German Film Award และมีผลงานอีกมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็น Captain America: Civil War, The Zookeeper’s Wife, Alone in Berlin, The Colony, Woman in Gold, The Bourne Ultimatum, Burnt, The Face of an Angel, The Edukators, The Countess เป็นต้น
ในคราวนี้เขาก้าวเขามาร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่จากเหตุการณ์ก่อการร้ายสะเทือนโลก ซึ่งนำไปสู่หนึ่งในปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันที่โลกต้องตะลึง กลายมาเป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญที่ได้สร้างขึ้นโดยรับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงในชื่อ “7 Days in Entebbe เที่ยวบินนรกเอนเทบเบ้” เรื่องราวเริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 1976 เมื่อเครื่องบินลำหนึ่งของสายการบินแอร์ฟรานซ์ ซึ่งบินจากกรุงเทล อาวีฟไปยังกรุงปารีส ถูกสลัดอากาศจำนวน 4 คน ประกอบด้วยชาวปาเลสไตน์ 2 คน และชาวเยอรมันชาตินิยมหัวรุนแรงอีก 2 คน พากันบุกเข้ายึดครองเครื่องบินขณะลำลอยอยู่กลางอากาศ และบังคับให้บินออกนอกเส้นทางเพื่อแล่นลงจอดยังสนามบินเอนเทบเบ้ ในประเทศอูกันด้า ส่งผลให้เหล่าผู้โดยสารที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อต้องกลายเป็นเหมือนเบี้ยที่ใช้ต่อรองแลกเปลี่ยนบนเกมการเมืองสุดแสนอันตราย ขณะที่โอกาสในการเจรจาเพื่อหาทางออกด้วยวิธีทางการทูตกลับใช้ไม่ได้ผล รัฐบาลอิสราเอลจึงตัดสินใจสั่งลงมือปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลือตัวประกันให้รอดปลอดภัยก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป... ด้วยการผสมผสานข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์อย่างละเอียดชัดเจน เข้ากับแนวหนังระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมลุ้นระทึกไปด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลา 7 Days in Entebbe คือ ภาพยนตร์ที่นำเสนอเหตุการณ์วิกฤติระหว่างประเทศอันทรงพลังที่เคยทำให้โลกตะลึงมาแล้ว
คุณเข้ามาร่วมโปรเจคต์ได้อย่างไร?
บรูห์ล: ตอนได้อ่านบทครั้งแรก ผมประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก ผมรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่เอนเทบเบ้ เคยดูหนังที่ทำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาแล้ว ทว่าพอได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ มันทำให้รู้เลยว่ายังมีรายละเอียดอีกมากมายที่น่าสนใจสุดๆ แถมบทหนังยังทำให้เห็นถึงแรงผลักดันที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำของตัวละครทุกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
คุณเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับบทนี้บ้าง?
บรูห์ล: ผมอ่านหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวพฤติกรรมของสมาชิกหน่วยแห่งการปฏิวัติหัวรุนแรงในเยอรมัน รวมถึงดูภาพยนตร์และหนังสารคดีอีกจำนวนมากเพื่อศึกษาลักษณะการแต่งกาย วิธีการพูด การแสดงออกของคนเหล่านั้น นอกจากนี้ผมยังศึกษาประสบการณ์ตรงจาก อาเมียร์ โอเฟอร์ ผู้เคยเป็นอดีตทหารที่เข้าร่วมภารกิจในครั้งนั้นด้วย
เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่มีพยานในเหตุการณ์ตัวจริงมาอยู่ในกองถ่ายพร้อมกับพวกเรา แต่ก็แน่นอนว่า เขาย่อมมีมุมมองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแบบของเขา แม้ว่าผมจะชอบที่ได้พูดคุยกับเขา แต่ในการแสดงเป็นโบเซ่ ผมก็ต้องกันตัวเองให้ห่างออกมา พูดให้ชัดๆ คือไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ผมก็แค่ฟังหูไว้หูเท่านั้นแหละ มันก็พิลึกไปอีกแบบ
การทำงานกับ โจเซ่ พาดิลฮา ผู่กำกับ เป็นอย่างไรบ้าง?
บรูห์ล: แม้ว่าผมจะเตรียมตัวมาพอสมควร แต่ผมชอบวิธีที่ผู้กำกับสร้างพลังงานและความตื่นตัวกระฉับกระเฉงในกองถ่าย การทำงานกับโจเซ่ คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากๆเพราะว่าเขามักจะมีไอเดียใหม่ๆผุดขึ้นมาในนาทีสุดท้ายเสมอเป็นกองถ่ายหนังที่ทีมงานตื่นตัวกันมากๆ คือต้องพร้อมที่จะถ่ายฉากเดิมอีกครั้ง ลองแสดงแบบใหม่ หรือบางทีก็ดั้นบทกันสดๆไปเลย เหมือนใช้วิธีการทำหนังสารคดีเข้ามาถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับนักแสดงแล้ว ถือเป็นการทำงานที่คุ้มค่ามาก
คุณคิดว่าทำไมถึงควรเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในยุค 70 มาทำเป็นภาพยนตร์ในปี 2018?
บรูห์ล: เป็นเพราะว่า การก่อการร้ายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอิสราเอลกับปาเลสไตน์ก็ยังขัดแย้งกันไม่เลิกราเสียที และการได้มองดูเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จากหลากหลายมุมมอง ก็ทำให้เราเข้าใจถึงกระบวนการตัดสินใจของผู้นำประเทศที่ทำให้เราต้องอยู่ในโลกที่เป็นเช่นทุกวันนี้
คุณมีเคล็ดลับอะไรเพื่อเข้าถึงจิตใจของตัวละครนี้?
บรูห์ล: เป็นคำถามที่น่าสนใจ สำหรับผมมันมีช่วงสำคัญในหนังช่วงนึง ที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวประกันดีไหม มันเหมือนผมเองก็ต้องตัดสินใจเหมือนกันในฐานะนักแสดง ผมเลยต้องใช้ข้อมูลจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ คุณเลอ มวง (พยานที่ผ่านเหตุการณ์) อยู่ข้างๆผม เขาบอกว่าเขาจำเหตุการณ์นั้นได้ติดตา แน่นอนคุณรู้สึกต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิมเมื่อต้องเล่นเป็นคนที่มีตัวตนจริงๆ แถมยังพัวพันกับประเด็นละเอียดอ่อน แต่ผมรู้ดีว่าได้ทำงานกับคนมีฝีมือหลังจากครั้งแรกที่ผมได้คุยกับโจเซ่เราคุยกันเป็นชั่วโมง คุยกันไปจนถึงเรื่องการเมืองเยอรมันในตอนนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าชายคนนี้มีความรู้เรื่องการเมืองใช่เล่นเลย
โรซามันด์ ไพค์ พูดเยอรมันเป็นอย่างไรบ้าง?
บรูห์ล: สมบูรณ์แบบ ผมอึ้งไปเลย ครั้งแรกที่ผมได้เจอเธอผมได้ยินมาว่าเธอพูดเยอรมันได้ แต่บางครั้งนักแสดงมักจะโม้ว่าพวกเขาทำได้ทุกอย่างแหละ ผมเจอมากับตัวที่จู่ๆ พวกเรานักแสดงก็เจอกับสิ่งบางอย่างที่เราทำไม่ได้ที่เคยบอกไปว่าทำได้ ตอนแรกผมคิดว่าเธอทำไม่ได้หรอกเพราะพูดภาษาเยอรมันมันต้องชัดเป๊ะและมันยากมาก แต่เธอทำได้จริงๆ เธอเก่งสุดๆ เหมือนผมร่วมงานกับนักแสดงเยอรมันตัวจริง
คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุให้ผู้คนกลับมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้นตลอดเวลา?
บรูห์ล: ผมว่าน่าจะเป็นความบ้าคลั่งของภารกิจนี้ ของพวกผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะการมีชาวเยอรมันมาจี้เครื่องบินที่มีผู้โดยสารเป็นคนยิว แม้แต่ในโลกของผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้ายสุดโต่งนี่ยังไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ในอีกมุมมันเป็นปฏิบัตการณ์ทางทหารที่โลกไม่เคนเห็นมาก่อน มันคือการรุกเข้าตีแบบไม่ให้ตั้งตัว ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลและกองทัพอิสราเอล เมื่อย้อนกลับไปคิดดูมันเป็นอะไรที่อัศจรรย์มากนะ มันเหลือเชื่อมากที่ภารกิจนี้สำเร็จ มันเป็นผลจากการร่วมมือของทุกฝ่าย
มันตลกดีที่ชายที่ไม่ค่อยมีคนรู้ประวัติเขาอย่าง วิลเฟร็ด โบเซ่ ตัวละครของคุณในเรื่อง ได้นักแสดงมารับบทนี้มาก่อนหน้านี้ถึงสี่คนแล้ว คุณเคยชมการแสดงของนักแสดงท่านอื่นในบทนี้มาก่อนไหม?
บรูห์ล: ผมเคยดูเวอร์ชั่น ฮอร์ส บูโชลซ์ เล่น ผมรู้ว่า เคลาส์ คินสกี้ เคยเล่นบทนี้เหมือนกัน แต่ผมเคยดูแค่อันที่ ฮอร์ส บูโชลซ์ แต่ตอนที่ผมเตรียมตัวถ่ายทำผมดูบางซีนที่เคลาส์ คินสกี้เล่น ผมตัดสินใจไม่ดูก่อนการถ่ายทำเพราะผมคิดว่ามันคงแปลกๆ ที่เห็นนักแสดงคนอื่นเล่นบทที่ผมต้องเล่น มันคงจำกัดกรอบการแสดงของผม
จากเรื่องจริงชวนทึ่งของภารกิจบุกชิงตัวประกันที่พลิกหน้าประวัติศาสตร์โลก
“7 DAYS IN ENTEBBE” : 5 เมษายน 2018 ในโรงภาพยนตร์
คุยกับ “แดเนียล บรูห์ล” ดาราหนุ่มมากความสามารถขอพลิกบทบาทเป็นผู้ก่อการร้ายในภาพยนตร์เขย่าขวัญสร้างจากภารกิจชิงตัวประกันในตำนาน 7 Days in Entebbe
แดเนียล บรูห์ล นักแสดงหนุ่มมากฝีมือผู้มีผลงานอันโด่งดังมากมายทั้งภาพยนตร์และหนังทีวี โดยเฉพาะกับบทในหนังดราม่าเรื่อง Rush (2013) ของผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด-Ron Howard ซึ่งทำให้เข้าเข้าชิงรางวัลต่างๆมากมาย ทั้งลูกโลกทองทำ, BAFTA, SAG และ Critics’ Choice Awards ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ทว่าก่อนหน้านั้น เขาเป็นนักแสดงที่ถูกจับตามองจากบทตัวประกอบที่โผล่ออกมาขโมยซีนใน Inglorious Basterds ของผู้กำกับ เควนติน ตารันติโน่-Quentin Tarantino
ก่อนหน้าจะเดินทางมาฮอลลีวู้ด บรูห์ลเป็นนักแสดงที่โด่งดังมากมายในทวีปยุโรปจากบทนำในหนังเรื่อง Good Bye Lenin! (2003) ซึ่งเขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวที European Film Award และ German Film Award และมีผลงานอีกมากมายตามมา ไม่ว่าจะเป็น Captain America: Civil War, The Zookeeper’s Wife, Alone in Berlin, The Colony, Woman in Gold, The Bourne Ultimatum, Burnt, The Face of an Angel, The Edukators, The Countess เป็นต้น
ในคราวนี้เขาก้าวเขามาร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่จากเหตุการณ์ก่อการร้ายสะเทือนโลก ซึ่งนำไปสู่หนึ่งในปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันที่โลกต้องตะลึง กลายมาเป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญที่ได้สร้างขึ้นโดยรับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงในชื่อ “7 Days in Entebbe เที่ยวบินนรกเอนเทบเบ้” เรื่องราวเริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนปี 1976 เมื่อเครื่องบินลำหนึ่งของสายการบินแอร์ฟรานซ์ ซึ่งบินจากกรุงเทล อาวีฟไปยังกรุงปารีส ถูกสลัดอากาศจำนวน 4 คน ประกอบด้วยชาวปาเลสไตน์ 2 คน และชาวเยอรมันชาตินิยมหัวรุนแรงอีก 2 คน พากันบุกเข้ายึดครองเครื่องบินขณะลำลอยอยู่กลางอากาศ และบังคับให้บินออกนอกเส้นทางเพื่อแล่นลงจอดยังสนามบินเอนเทบเบ้ ในประเทศอูกันด้า ส่งผลให้เหล่าผู้โดยสารที่กำลังขวัญหนีดีฝ่อต้องกลายเป็นเหมือนเบี้ยที่ใช้ต่อรองแลกเปลี่ยนบนเกมการเมืองสุดแสนอันตราย ขณะที่โอกาสในการเจรจาเพื่อหาทางออกด้วยวิธีทางการทูตกลับใช้ไม่ได้ผล รัฐบาลอิสราเอลจึงตัดสินใจสั่งลงมือปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลือตัวประกันให้รอดปลอดภัยก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป... ด้วยการผสมผสานข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์อย่างละเอียดชัดเจน เข้ากับแนวหนังระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมลุ้นระทึกไปด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลา 7 Days in Entebbe คือ ภาพยนตร์ที่นำเสนอเหตุการณ์วิกฤติระหว่างประเทศอันทรงพลังที่เคยทำให้โลกตะลึงมาแล้ว
คุณเข้ามาร่วมโปรเจคต์ได้อย่างไร?
บรูห์ล: ตอนได้อ่านบทครั้งแรก ผมประหลาดใจจนพูดอะไรไม่ออก ผมรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่เอนเทบเบ้ เคยดูหนังที่ทำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาแล้ว ทว่าพอได้อ่านบทหนังเรื่องนี้ มันทำให้รู้เลยว่ายังมีรายละเอียดอีกมากมายที่น่าสนใจสุดๆ แถมบทหนังยังทำให้เห็นถึงแรงผลักดันที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการกระทำของตัวละครทุกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
คุณเตรียมตัวอย่างไรเพื่อรับบทนี้บ้าง?
บรูห์ล: ผมอ่านหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวพฤติกรรมของสมาชิกหน่วยแห่งการปฏิวัติหัวรุนแรงในเยอรมัน รวมถึงดูภาพยนตร์และหนังสารคดีอีกจำนวนมากเพื่อศึกษาลักษณะการแต่งกาย วิธีการพูด การแสดงออกของคนเหล่านั้น นอกจากนี้ผมยังศึกษาประสบการณ์ตรงจาก อาเมียร์ โอเฟอร์ ผู้เคยเป็นอดีตทหารที่เข้าร่วมภารกิจในครั้งนั้นด้วย
เป็นเรื่องน่ายินดีมากๆ ที่มีพยานในเหตุการณ์ตัวจริงมาอยู่ในกองถ่ายพร้อมกับพวกเรา แต่ก็แน่นอนว่า เขาย่อมมีมุมมองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแบบของเขา แม้ว่าผมจะชอบที่ได้พูดคุยกับเขา แต่ในการแสดงเป็นโบเซ่ ผมก็ต้องกันตัวเองให้ห่างออกมา พูดให้ชัดๆ คือไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมา ผมก็แค่ฟังหูไว้หูเท่านั้นแหละ มันก็พิลึกไปอีกแบบ
การทำงานกับ โจเซ่ พาดิลฮา ผู่กำกับ เป็นอย่างไรบ้าง?
บรูห์ล: แม้ว่าผมจะเตรียมตัวมาพอสมควร แต่ผมชอบวิธีที่ผู้กำกับสร้างพลังงานและความตื่นตัวกระฉับกระเฉงในกองถ่าย การทำงานกับโจเซ่ คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากๆเพราะว่าเขามักจะมีไอเดียใหม่ๆผุดขึ้นมาในนาทีสุดท้ายเสมอเป็นกองถ่ายหนังที่ทีมงานตื่นตัวกันมากๆ คือต้องพร้อมที่จะถ่ายฉากเดิมอีกครั้ง ลองแสดงแบบใหม่ หรือบางทีก็ดั้นบทกันสดๆไปเลย เหมือนใช้วิธีการทำหนังสารคดีเข้ามาถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับนักแสดงแล้ว ถือเป็นการทำงานที่คุ้มค่ามาก
คุณคิดว่าทำไมถึงควรเอาเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในยุค 70 มาทำเป็นภาพยนตร์ในปี 2018?
บรูห์ล: เป็นเพราะว่า การก่อการร้ายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอิสราเอลกับปาเลสไตน์ก็ยังขัดแย้งกันไม่เลิกราเสียที และการได้มองดูเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จากหลากหลายมุมมอง ก็ทำให้เราเข้าใจถึงกระบวนการตัดสินใจของผู้นำประเทศที่ทำให้เราต้องอยู่ในโลกที่เป็นเช่นทุกวันนี้
คุณมีเคล็ดลับอะไรเพื่อเข้าถึงจิตใจของตัวละครนี้?
บรูห์ล: เป็นคำถามที่น่าสนใจ สำหรับผมมันมีช่วงสำคัญในหนังช่วงนึง ที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะฆ่าตัวประกันดีไหม มันเหมือนผมเองก็ต้องตัดสินใจเหมือนกันในฐานะนักแสดง ผมเลยต้องใช้ข้อมูลจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ คุณเลอ มวง (พยานที่ผ่านเหตุการณ์) อยู่ข้างๆผม เขาบอกว่าเขาจำเหตุการณ์นั้นได้ติดตา แน่นอนคุณรู้สึกต้องรับผิดชอบมากกว่าเดิมเมื่อต้องเล่นเป็นคนที่มีตัวตนจริงๆ แถมยังพัวพันกับประเด็นละเอียดอ่อน แต่ผมรู้ดีว่าได้ทำงานกับคนมีฝีมือหลังจากครั้งแรกที่ผมได้คุยกับโจเซ่เราคุยกันเป็นชั่วโมง คุยกันไปจนถึงเรื่องการเมืองเยอรมันในตอนนี้ ผมรู้สึกได้เลยว่าชายคนนี้มีความรู้เรื่องการเมืองใช่เล่นเลย
โรซามันด์ ไพค์ พูดเยอรมันเป็นอย่างไรบ้าง?
บรูห์ล: สมบูรณ์แบบ ผมอึ้งไปเลย ครั้งแรกที่ผมได้เจอเธอผมได้ยินมาว่าเธอพูดเยอรมันได้ แต่บางครั้งนักแสดงมักจะโม้ว่าพวกเขาทำได้ทุกอย่างแหละ ผมเจอมากับตัวที่จู่ๆ พวกเรานักแสดงก็เจอกับสิ่งบางอย่างที่เราทำไม่ได้ที่เคยบอกไปว่าทำได้ ตอนแรกผมคิดว่าเธอทำไม่ได้หรอกเพราะพูดภาษาเยอรมันมันต้องชัดเป๊ะและมันยากมาก แต่เธอทำได้จริงๆ เธอเก่งสุดๆ เหมือนผมร่วมงานกับนักแสดงเยอรมันตัวจริง
คุณคิดว่าอะไรคือสาเหตุให้ผู้คนกลับมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์ครั้งนั้นตลอดเวลา?
บรูห์ล: ผมว่าน่าจะเป็นความบ้าคลั่งของภารกิจนี้ ของพวกผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะการมีชาวเยอรมันมาจี้เครื่องบินที่มีผู้โดยสารเป็นคนยิว แม้แต่ในโลกของผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้ายสุดโต่งนี่ยังไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ในอีกมุมมันเป็นปฏิบัตการณ์ทางทหารที่โลกไม่เคนเห็นมาก่อน มันคือการรุกเข้าตีแบบไม่ให้ตั้งตัว ด้วยความร่วมมือของรัฐบาลและกองทัพอิสราเอล เมื่อย้อนกลับไปคิดดูมันเป็นอะไรที่อัศจรรย์มากนะ มันเหลือเชื่อมากที่ภารกิจนี้สำเร็จ มันเป็นผลจากการร่วมมือของทุกฝ่าย
มันตลกดีที่ชายที่ไม่ค่อยมีคนรู้ประวัติเขาอย่าง วิลเฟร็ด โบเซ่ ตัวละครของคุณในเรื่อง ได้นักแสดงมารับบทนี้มาก่อนหน้านี้ถึงสี่คนแล้ว คุณเคยชมการแสดงของนักแสดงท่านอื่นในบทนี้มาก่อนไหม?
บรูห์ล: ผมเคยดูเวอร์ชั่น ฮอร์ส บูโชลซ์ เล่น ผมรู้ว่า เคลาส์ คินสกี้ เคยเล่นบทนี้เหมือนกัน แต่ผมเคยดูแค่อันที่ ฮอร์ส บูโชลซ์ แต่ตอนที่ผมเตรียมตัวถ่ายทำผมดูบางซีนที่เคลาส์ คินสกี้เล่น ผมตัดสินใจไม่ดูก่อนการถ่ายทำเพราะผมคิดว่ามันคงแปลกๆ ที่เห็นนักแสดงคนอื่นเล่นบทที่ผมต้องเล่น มันคงจำกัดกรอบการแสดงของผม
จากเรื่องจริงชวนทึ่งของภารกิจบุกชิงตัวประกันที่พลิกหน้าประวัติศาสตร์โลก
“7 DAYS IN ENTEBBE” : 5 เมษายน 2018 ในโรงภาพยนตร์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี