เป็นละครสุดเข้มข้นย้อนยุคสะท้อนสังคมที่สร้างปรากฏการณ์ฮือฮา จนกลายเป็นกระแสทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ฮิตไปทั่วบ้านทั่วบ้าน สำหรับละครแรงแห่งปี“กรงกรรม” จากบทประพันธ์ “จุฬามณี” สู่บทละครโทรทัศน์โดย “ยิ่งยศ ปัญญา” สร้างโดย “แอค-อาร์ต เจเนอเรชั่น”กำกับการแสดงโดย “พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง” และ “ธนากร โปษยานนท์” แสดงนำโดย “ราณี แคมเปน”, “จิรายุตั้งศรีสุข”, “ใหม่ เจริญปุระ” และนักแสดงมากฝีมืออีกคับคั่ง แม้ละครจะลาจอไปเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน แต่ยังคงตราตรึงความรู้สึกให้ใครต่อใครหลายคนได้สรรหาวิธีดูย้อนหลังไปมาให้อิ่มเอมใจ
เช่นเดียวกันกับทีมข่าว “บันเทิงแนวหน้า” ที่ได้ติดตามละคร “กรงกรรม” ตั้งแต่แรกเริ่มจนตอนจบต้องยอมรับเลยว่า “กรงกรรม” ถูกยกให้เป็นละครในดวงใจในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่สร้างความประทับใจและเป็นผลงานชิ้นโบแดงของ แอค-อาร์ต เจเนอเรชั่น และทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยแท้จริง
ย้อนกลับไปก่อนตอนจบละคร “กรงกรรม” เพียงแค่ 10 ชั่วโมงทาง “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” ได้มีโอกาสต่อสายตรงถึงคนสำคัญที่สุดใน “กรงกรรม” นั่นก็คือนักประพันธ์หนุ่มไฟแรง นิพนธ์ เที่ยงธรรม เจ้าของนามปากกา “จุฬามณี, เฟื่องนคร, ชอนตะวัน” ซึ่งเคยฝากผลงานการเขียนไว้มากมายจนถูกนำมาสร้างเป็นละครชิงชัง, สุดแค้นแสนรัก ฯลฯ ผู้ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลังเมื่อครั้งวัยเยาว์ กับภูมิลำเนาจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อในอดีตให้กลับมาโลดแล่นคงอยู่ในโลกปัจจุบัน และอนาคต ผ่านตัวอักษร
ซึ่ง นิพนธ์ เที่ยงธรรม ได้เล่าความเป็นมาของต้นกำเนิดการเขียนบทประพันธ์ การโปรยยาและวางหมากสำคัญในแต่ละจุดของเรื่อง และวิธีคิดวิธีสร้างตัวละครในเรื่อง รวมถึงพัฒนาบ้านเกิดปรับจุดด้อยเพิ่มจุดเด่นร่วมกับเทศบาลเมืองชุมแสงจนเป็นพรีเซ็นเตอร์การท่องเที่ยวให้กับจังหวัดนครสวรรค์ด้วยจุดประกายไฟความคิดที่ว่า “พอทำงานมากขึ้นก็มีคำถามที่เกิดขึ้นว่ายังอยากจะทำอะไรกับโลกอีกบ้าง”
แรกเริ่มเดิมทีละครเรื่อง “กรงกรรม” ต้องบอกว่าตนเป็นต้นทางของเรื่องเป็นเจ้าของบทประพันธ์ นั่งดูอยู่กับกระแสต่างๆ ไม่ว่าทั้งที่จังหวัดนครสวรรค์ ทั้งคนรอบตัวและสื่อโซเชียล รู้สึกความอิ่มใจมากเพราะนวนิยายทำให้ผู้คนรู้จักอำเภอชุมแสงมากขึ้น จนทำให้เมื่อคนผ่านจังหวัดนครสวรรค์แล้วมองเห็นตัวละครต่างๆ จากเรื่อง “ชิงชัง” “สุดแค้นแสนรัก” จนมาถึง “กรงกรรม” มันเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากตอนนี้ทุกคนมองไปที่นครสวรรค์แล้วเห็นตัวละครเดินอยู่ตามตรอกซอกซอยซึ่งบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มคิดที่จะทำงานวางฉากและบรรยากาศเป็นสถานที่จริง
ด้วยความคลุกคลีและเติบโตมากับคนมีอายุอย่างคุณย่าที่มีลูกเยอะทำให้เห็นวิธีการจัดการของเขาโตมากับร้านค้าฉะนั้นมันจึงมีเรื่องเล่าเยอะ และโตมากับการลงแขกเกี่ยวข้าว ทำนาดำนา ทำอะไรไปแล้วก็จะได้ฟังเรื่องเก่าๆของคนที่มาลงทำงานไปด้วยเลยรู้สึกว่ามันสนุกและมีโอกาสได้อ่านเรื่อง “สี่แผ่นดิน” ของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” เลยรู้ว่าพออ่านจบจึงเข้าใจในความเป็นคนของโลกนี้ว่าชีวิตจริงๆ ต้องเป็นแบบแม่พลอยไม่ใช่แค่จบด้วยการแต่งงานกับคุณเปรมแล้วยืนกอดกัน เลยรู้สึกจะทำแม่พลอยคนที่สองออกมาได้อย่างไร รักเรื่องสี่แผ่นดินมากจึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวละครของตนออกมาเป็นไอดอลของคน จึงออกมาเป็นหลายๆตัวละคร มันจึงกลายเป็นว่าตนเหมือนคนมีอายุที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งที่เพิ่งอายุ 40 ย่าง 41 ปี ผ่านการใส่รองเท้ายี่ห้อนี้มาผ่านการกระโดดหนังยางวิ่งเล่นกระโดดน้ำ เลยรู้สึกว่าอยากนำเสนอให้เด็กรุ่นหลังได้เห็น หรือคนรุ่นเดียวกันได้มองเห็นอดีตที่ผ่านมา
ด้วยความที่เป็นคนนครสวรรค์และได้แรงบันดาลมาจากการที่ไปเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงเพราะฉะนั้นก็จะเห็นภาพของ “ขวัญ-เรียม” และเรื่อง “แผลเก่า” ตอนมาเรียนแม้จะไม่เหลือเคล้าของความเป็นทุ่งบางกะปิแต่ก็ยังเห็นภาพขวัญกับเรียมเดินไปเดินมาอยู่ พอมาเขียนนวนิยายเรื่องชิงชังเลยรู้สึกว่าทำไมจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้ จุดเริ่มต้นของชิงชังมากจากคุณย่า และบรรยากาศของตำบลท่าน้ำอ้อย อำเภอพยุหะคีรี ซึ่งก็เหมือนทำให้คุณพ่อเพราะเป็นบ้านเกิดคุณพ่อ จนมาถึงสุดแค้นแสนรัก ที่ช่อง 3 ติดต่อมาว่าอยากได้ละครแนวๆ เดียวกับชิงชังบ้าง เคยมีความรู้สึกว่าเคยทำให้คุณพ่อไปแล้ว ทำให้คุณแม่บ้างดีกว่า เลยกลายเป็นตำบลหนองนมวัว อำเภอลาดยาว ฉากและบรรยากาศคือกระบวนการคิดแบบเริ่มต้นมาก่อน
หลังจากนั้นก็เขียนเรื่อง “ทุ่งเสน่หา” และ “วาสนารัก” ก็ยังเป็นฉากและบรรยากาศของ อำเภอลาดยาว ก่อนที่ตัวละครจะย้ายมาอยู่ที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง ที่เป็นในตลาดของจังหวัดนครสวรรค์ ได้การตอบรับจากช่อง 3 ทั้งสองเรื่องและอยู่ในกระบวนการผลิตเรื่องทุ่งเสน่หาถ่ายทำไปแล้ว จนมาสู่กรงกรรมที่มีทั้งตำบลท่าน้ำอ้อย ตำบลหนองนมวัว บ้านหนองน้ำผึ้งตำบลปากน้ำโพ เลยคิดว่ามันน่าจะทำให้เกิดการย้อนรอยหรือตามละครจึงเริ่มที่จะส่ายสายตา กางแผนที่ในจังหวัดนครสวรรค์ เริ่มเพ่งเล็งว่าที่ไหนในนครสวรรค์น่าจะทำให้เกิดการตามรอยละครได้เป็นรูปธรรมที่สุดและมองไปที่ อำเภอชุมแสง เพราะมีตลาดโบราณ 100 ปีมีสถานีรถไฟ มีแม่น้ำน่านตอนแรกได้ความรู้สึกว่าน่าสนใจเป็นที่มีน้ำตาลสดมีต้นตาล มีตาลโตนด เลยรู้สึกว่าอยากเล่นกับที่นี่และเหมือนมีอะไรดลจิตดลใจให้ปักหมุดไว้ที่เรื่องถัดไปพอได้เค้าโครงเรื่องจริงเอามาลงที่อำเภอชุมแสง
จากบทประพันธ์มาสู่บทะครเรื่องกรงกรรม เข้าใจในเรื่องของการให้แอร์ไทม์กับนักแสดงหลายๆ คนแต่การเขียนบทประพันธ์ไม่ได้ไปเน้นที่ตัวละครบางตัวเต็มๆ แต่ว่าด้วยหน้ากระดาษจึงมีการเขียนนิสัยใจคอของตัวละครไว้ 3 บรรทัด คนที่อ่านนิยายส่วนใหญ่เขาก็บอกว่าภาพที่เห็นในโทรทัศน์เหมือนกับในหนังสือที่ถูกประพันธ์ขึ้นแม้จะมีผิดไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรสุดท้ายก็กลับมาจุดเดิม เพราะเข้าใจศาสตร์ของการเขียนบทละครเพราะบางทีก็ต้องกระชับและเน้นไปที่ตัวละครเอกตัวใดตัวหนึ่ง การเล่าเรื่องโดยใช้ตัวอักษรมันมีชั้นเชิงกับการเล่าเรื่องด้วยภาพมันคนละอย่างกันอันนี้คือตนเข้าใจและพอใจมากกับบทละครเรื่องนี้ ตนอยากได้คนเขียนบทละครที่ใจกล้า กล้าที่จะด่าแรงๆ ซึ่งผู้กำกับก็ใจถึงให้ถีบเป็นถีบ จึงรู้สึกว่าได้ดั่งใจทุกอย่างในขณะเดียวกันตัวละคร ย้อย ในนวนิยาย จะมีความเป็นผู้หญิงเยอะกว่านี้การดีไซน์ตัวละครมีความเก๋มากตัวของย้อยมีแต่ลูกชายและรอบๆ ตัวก็มีแต่ผู้ชาย เพราะฉะนั้นตัวแม่ย้อยจะมีความแมน อย่างเวลานั่ง น้ำเสียงที่มีความเหน่อและห้วนๆ เลยรู้สึกว่าพี่ใหม่เป็นแม่ย้อยได้มีมิติมาก
เรื่องภาษาและคำพูดของตัวละครมีกังวลบ้างเพราะวันแรกที่ออนแอร์มันพูดถึงตาคลีมีดราม่านิดหน่อยเกี่ยวกับอาชีพของ “เรณู” ตนไม่ได้ดูทั้งเรื่องเพราะตอบข้อความเลยมานั่งคิดว่าพลาดตรงไหนพอย้อนกลับไปดูอินสตาแกรมที่ทาง แอค-อาร์ตตัดคลิปลงก็ไม่ได้พลาดอะไรหรือว่าอะไรคนตาคลีแค่เอ่ยถึงนิดหน่อยขณะเดียวกันก็มีคนบางกลุ่มที่เข้าใจว่าคนที่มาตำหนิผู้ประพันธ์อาจจะไม่ได้ดูทั้งหมดหรือด้วยทัศนคติส่วนตัวเขาก็บอกว่าไม่ต้องไปกังวลเลยคนตาคลีไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เขาเข้าใจว่าคือละคร และเป็นเรื่องจริง คนตาคลีไม่ได้มีอาชีพแบบนั้น ทางทีมละครก็ระวังระดับหนึ่ง อย่างฉากสาบานในหนังสือแรงและล่อแหลม บางฉากตนที่เป็นคนเขียนก็ไม่ได้ยั้งแต่ทางทีมงานก็ทำให้มันเบาลง มีการปรับตัวละครไม่ให้ไปกระทบกับความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดนครสวรรค์
ยอมรับตอนที่เขียนมีร้องไห้เหมือนกันเพราะเข้าใจถึงความล้ำลึกของตัวละคร ฉากที่ “อรพรรณี” อวดร่ำอวดรวย จนมาถึงฉากกินเหลาก็แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วย้อยมีความเป็นแม่ลึกกว่าที่คนอื่นคิด ด้วยการอาบน้ำร้อนมากก่อนจึงรู้แล้วว่า “ใช้ และอรพรรณี” อย่างไรก็ไปกันไม่รอดแต่ให้ไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯในความเป็นผู้หญิงก็เข้าใจหัวอกของอรพรรณีด้วยว่ารักแล้วก็ต้องการครอบครัวและมีความหึงหวง ทำให้สถานการณ์เป็นไปสถานการณ์ที่ชาญฉลาดแล้วพี่ใหม่ก็เล่นได้ซึ้งมาก ฉากที่ “อาสี่” ตายยอมรับว่าร้องไห้หนักเหมือนกันเข้าใจถึงหัวอกของคนเป็นแม่ เพราะเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างเหมือนกัน หรือฉากที่เห็นความเป็นคู่ทุกข์คู่ยากของย้อยและหลักเซ้ง “ที่บอกว่าวันนั้นลื้อไม่มีเงินกินไอติมจริงๆ เหรอ” ตนก็น้ำตาร่วงรู้สึกว่ามันหวานและตื้นตัน เขาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากทำให้ตนนึกถึงพ่อแม่ของตัวเอง
มีคนถามเข้ามาเยอะด้วยกระแสความสำเร็จอยากจะให้มี “กรงกรรม ภาค 2” อาจจะไม่มีซึ่งเราอยากเล่นอะไรใหม่ๆ เลยรู้สึกว่านวนิยายที่จะไปทำละครเรื่องใหม่แทน โดยจะนำตัวละครจาก “กรงกรรม” แยกตัวออกไปเล่าเรื่องใหม่ โดยมีความเกี่ยวเนื่องกันเหมือนสุดแค้นแสนรัก และ กรงกรรม ซึ่งตอนนี้ก็ได้วางโครงเรื่องไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้เขียนคือเรื่อง “ระบำบุญ” เป็นเรื่องของ “มาลา” ภรรยา “อาสี่” ที่ทิ้งลูกสาวไว้ให้ “ย้อย” โดยมี “อาซา กับ จันตา“ เป็นพ่อแม่บุญธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กกับแม่ที่ทิ้งตัวเองไป แต่รับรู้มาตลอดว่าแม่ตาย ขณะเดียวกัน ความลับไม่มีในโลกเพราะเธอดันรู้ว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ทำให้อยากเจอแม่ กอดกราบแม่ แต่ถ้าแม่ที่ตัวเองนึกถึงไม่ได้เป็นไปตามมโนคติที่นึกถึงแบบจันตาหรือแม่ของเพื่อนจะเป็นอย่างไร จะทำอย่างไรหรือจะตอบแทนบุญคุณของแม่ได้หรือไม่บางทีมันยากกับการที่จะก้าวผ่านอารมณ์แบบนี้ไปได้ โดย “ระบำบุญ” มีฉากและบรรยากาศคืออำเภอท่าตะโก และอำเภอไพศาลี มีเยอะเหมือนกันแต่ยังไม่บอกว่าพระเอกเป็นใคร แต่ “มาลา” และ “กมลา”ที่ อาซาและจันตา เลี้ยงมาเป็นตัวเดินเรื่องอย่างแน่นอน
ขอบคุณภาพ เฟซบุ๊ค จุฬามณี เฟื่องนคร ชอนตะวัน บุ๊คส์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี