หากย้อนเวลากลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ยุคที่ท่าเต้นฮิปฮอป กำลังมาแรง ช่วงนั้นเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่มักจับกลุ่มกันเพื่อซ้อมเต้น โดยเฉพาะเวทีการประกวดต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เข้ามาตามล่าหาความฝันดังเช่นเด็กไทยกลุ่มหนึ่งที่มีใจรักการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ จนในที่สุดได้มีโอกาสมารู้จัก และร่วมทำตามความฝันด้วยกัน จนเกิดกลุ่มบอยแบนด์ในนาม “ดร.คิดส์” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของ 4 ได้แก่ “แมค” วรพงษ์ อาภรณ์ศิริ-“ต้าร์” บัณฑิตย์ เดชกุญชร-“อ๊อฟ” ฤทธิพร สกลเดช และ “ต๊อก” พิษณุ ดีประเสริฐ ที่ได้เข้ามาปลุกกระแสวงการเพลงวัยรุ่นเมืองไทยด้วยภาพลักษณ์ บุคลิก ทรงผม และสีสันของเสื้อผ้าที่แปลกตา รวมทั้งด้วยความ น่ารัก สดใส หล่อ ทะเล้น ของทั้ง 4 หนุ่ม จึงทำให้ในที่สุดแจ้งเกิดและก้าวขึ้นมาเป็นซุปเปอร์สตาร์ในยุคนั้นอย่างแท้จริง แม้กาลเวลาผ่านไป แต่วง ดร.คิดส์ ยังอยู่ในหัวใจของแฟน ๆ เพลงในยุคนั้นเสมอ แม้ช่วงหนึ่งที่เขาต้องเจอกับข่าวร้ายด้วยการสูญเสีย 1 ในสมาชิก ต้าร์ ดร.คิดส์ แต่ด้วยมิตรภาพที่ผูกพันวันนี้ 3 สมาชิกของวงได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมเปิดใจกับ ทีมข่าวบันทิงแนวหน้า ในคอลัมน์สตาร์เรโทรครั้งนี้
ก่อนที่จะมาเป็นดร.คิดส์
แม็ค : ผมตอนนั้นก็เต้นครับ ไปสมัครแข่งเต้นตามรายการต่างๆ ตอนนั้นเพลงเต้นกำลังมาแรง เต้นแล้วก็ไปแข่งตามรายการที่แข่งเต้นต่างๆ ต่างจังหวัดตามอะไรอย่างนี้ครับ แล้วตอนหลังมาเต้นให้พี่ติ๊ก ชีโร่ แล้วก็มาเจอกันเป็นเพื่อนกัน มาแข่งเต้นกันอะไรอย่างนี้ เลยทำให้เรามารวมตัวกัน
อ๊อฟ : ประกวดเต้นมาเหมือนกันครับ พี่เป็นคนชอบเต้นมาตั้งแต่เด็กพอมีการประกวดเต้นก็เลยไปโชว์ความสามารถไปประกวดตามเวทีต่างๆ ตอนนั้นทำทุกอย่างที่วัยรุ่นเขาทำกัน ช่วงนั้นวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่จะจับกลุ่มกัน เต้นเป็นกลุ่ม ซึ่งเราก็ได้มีโอกาสไปโชว์ความสามารถ เลยได้ไปเจอกับก็แม็ค ต๊อก และเจอต้าร์ด้วย
ต๊อก : เต้นเหมือนกันครับก็ประกวดเต้นแล้วก็ ตอนนั้นก็รู้สึกว่าจะอยู่คณะเต้นโชว์ อยู่ที่เดียวกับต้าร์เลย อยู่บริษัทเดียวกัน อินทรดารา ซึ่งเป็นคณะเต้นเก่าแก่มีรุ่นพี่เขาเป็นแดนเซอร์ให้นักร้องดังหลายคน เราก็เป็นรุ่นน้องไปเต้นแล้วก็ประกวดเต้นก็มาเจอเป็นเพื่อนกัน
รวมเป็นดร.คิดส์
อ๊อฟ : พอไปประกวดเต้นหลาย ๆ เวทีแล้วได้เจอกัน แม็ค เขาก็เลยมาชวนว่าคุณพ่อ(ทนงศักดิ์ อาภรณ์ศิริ) เป็นโปรดิเซอร์ อยู่อยากจะทำอัลบั้มเกี่ยวกับวงที่เต้น ๆ เลยมาชวนๆกัน เพราะว่าพวกผมก็ผลัดกันได้รางวัล วนกันอยู่อย่างนี้ 4 คน เราเลยแบบลองมาทำเพลงกันดูไหมพ่อมีโปรเจ็กตรงนี้อยู่อยากให้ลองชวนเพื่อน ๆ 4-5 คน ซึ่งตอนนั้นมีวงที่เป็นต้นแบบ คือ new kid on the block ที่กำลังดัง เมืองไทยน่าจะมีอย่างนั้นก็เลยมาชวนกัน
แม็ค : ครับก็ชวนกันมา คุณพ่อให้เรามาทำเพลงมาลองเทสต์เสียงดูมาอะไรอย่างนี้ดู แล้วก็รวมตัวกันว่าคนนี้ร้องสไตล์นี้ คนนี้ร้องสไตล์นี้จะเป็นยังไง เราก็ทำออกมาก็ไปได้ค่ายช่อง 3 เอสพี ศุภมิตร หลังจากนั้นได้ออกมาประมาณชุดหนึ่งชื่อ “ใหม่ถอดด้าม” (ปี 2536) ซึ่งกระแสออกมาเป็นที่รู้จัก เสร็จแล้วถึงได้ย้ายไปค่ายคีตาฯ เพราะบริษัท ฯ ปิดตัวลง ซึ่งในค่านตอนนั้นมี พี่ปู แบล็คเฮด ซึ่งตอนนั้รอยู่วง ยูเรเนี่ยม พี่ลูกน้ำ พาเมล่า ก็ย้ายค่ายกันไป พวกเราก็ไปคีตาฯ
4 คน 4 สไตล์
อ๊อฟ : แม็ค เขาจะหล่อ ผมจะเข้ม ต๊อก เขาจะ ทะเล้น ส่วนต้าร์ จะน่ารัก
อัลบั้มแรกในชีวิต
อ๊อฟ : อัลบั้มชุดแรกแจ้งเกิดในระดับหนึ่ง แล้วในส่วนของการแต่งตัวทรงผม เพลงที่มีเอกลักษณ์ที่แปลก มีดนตรีไทยเข้ามา มีคุณชินกร ไกรลาศ มาโห่ด้วย ซึ่งตอนนั้นส่วนใหญ่เป็นช่วงที่กระแสเพลงสากลต่างประเทศจะมาแรง แต่ว่าของ ดร.คิดส์ เนี่ยะคงความเป็นไทยเปิดตัวด้วยเพลง เด็กไทย, ใหม่ถอดด้าม , เป็นอย่างเขา, แอบรัก แล้วก็มาเพลง อั๊ยย่ะ เป็นเพลงสุดท้าย
ปลุกกระแสวงการเพลง ไม่แพ้ เคป๊อป
อ๊อฟ : ผมว่าเกาหลีแต่งตัวคล้ายดร.คิดส์ชุดแรกมากเลยนะ ช่วงนั้นเราล้ำมาก คนจำได้เพราะว่าประหลาดทรงผมด้วย แปลกมาก”
ย้ายสู่ค่ายคีตา ฯ แจ้งเกิด
แม็ค : ตอนนั้นชุดที่สอง “โมดิฟายส์” ครับ เราโตขึ้นมาก็แปลกแหวกแนวออกไปอีก ชุดแรกเราจะเป็นแบบชุดดำ ชุดที่สองจะเปลี่ยนไปเด่นที่สุดก็คือทรงผมไปเลย การแต่งตัวเราจะออกฮิปฮอปหน่อย เกงตัวใหญ่ เสื้อตัวใหญ่ อย่างนี้
อ๊อฟ : เรื่องเพลงเราโตขึ้นเพราะว่าชุดแรกที่เราทำไม่มีเพลงรักเลย ที่เป็นอกหัก ตอนนั้นจะมี “แอบรัก” , “อยากเป็นเหมือนอย่างเขา” เป็นรักของวัยเด็ก แต่พอมาชุดที่สอง เปิดตัวด้วยเพลง “ข่าวร้าย” อกหักแล้วนะโตเป็นวัยรุ่นแล้ว ก็ห่างจากชุดแรก 2 ปี เราก็ร้องเพลงที่อกหักเพลงที่ช้ำจริงๆ นี่คือความโตขึ้นทางด้านเนื้อเพลง ตอนแรกเป็นสโมสรผึ้งน้อย พอหลังจากนั้นก็จะเป็นวัยรุ่นแล้ว มีความรักอะไรอย่างนี้ เพลงนี้ถือว่าทำให้เราแจ้งเกิดพอเพลงถูกปล่อยออกมาเปรี้ยงเลยขึ้นอันดับหนึ่ง ทุกชาร์จแล้วก็หลายสัปดาห์ ก็ทำเซอร์ไพร์สให้พวกเรามากมีคนเริ่มรู้จักมากขึ้นเพราะว่าค่ายคีตาเขาใหญ่ บ้านหลังใหญ่กว่าตอนนั้นในวงการเพลงมี แกรมมี่ มีอาร์เอส คีตา ที่เป็น สามค่ายใหญ่ เราก็ได้โปรโมทแบบทั่วประเทศ
ต๊อก : นอกจากเพลง ข่าวร้าย ก็จะมีเพลงเร็ว “หาเอาใหม่” , “ร้ายนักรักซะ”
ช่วงพีคที่สุด
แม็ค : ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองครับ ช่วงนั้นไม่มีเวลาทำอะไรเลยครับมีคิวทำงานตั้งแต่เช้ายันเย็น
อ๊อฟ : ซ้อมเต้นแล้วก็มีงานที่คิวยาว มีคอนเสิร์ตใหญ่ที่ MBK Hall ที่เป็นบทพิศูจน์ศิลปินหลายๆคนว่า ถ้าขึ้นคอนเสิร์ตของตัวเองที่นี่แล้วแสดงว่าคุณดังโอเคแล้วในระดับหนึ่งอะไรอย่างนี้ครับ และถือเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของเรากับอัลบั้มชุดนี้เลย
ขึ้นคอนเสิร์ตครั้งแรก
อ๊อฟ : ตอนที่ก่อนจะขึ้นเราอยู่หลังเวที พี่เขาคอยมาบอกว่าเฮ้ย คนเยอะมากเลยเอาให้เต็มที่ เราก็ไม่รู้ว่าเยอะขนาดไหน พอเราจะขึ้นก็จับมือกัน 4 คนเสียงกรี๊ดดังลั่นฮอลล์มาก เกิดมาไม่เคยเจอขนาดนี้สั่นเลยครับ ขึ้นเครนเห็นคนแล็วโอโห้ ใส่หนักเลยจัดเต็ม ถ้าคนเคยดูเพราะว่า จริง ๆ แล้วก็อัดอั้นเราอยากจะเต้นคอนเสิร์ตใหญ่มานานแล้วครับ
ออกอัลบั้มกับคีตากี่อัลบั้ม
อ๊อฟ : 3 อัลบั้มครับ มีที่ค่ายคีตา เอ็นเตอร์เท็นเมนท์ 2 อัลบั้ม มี “โมดิฟายส์” (พ.ศ. 2538) แล้วมาเป็น “เจอกันละมันส์” (พ.ศ. 2540) ตอนนั้นขายเกือบล้าน ขึ้นคอนเสิร์ตครั้งที่สองของ MBK อีกรอบ แต่รวม ๆ แล้วออกอัลบั้มมาเราขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ที่นั่นถึง 3 รอบ
แม็ค : พอชุดที่สี่ “มันนี่” (พ.ศ. 2541) ก็มาเปลี่ยนบ้านมาอยู่กับ คีตา มิวสิค เพราะเปลี่ยนผู้บริหาร แต่สุดท้ายบริษัทก็ปิดตัวอีก
วิกฤติชีวิตตีตาฯปิดตัว
อ๊อฟ : คือพอเราย้ายมาได้ไม่นานบริษัทฯก็ปิดตัวลงอีกครั้ง เพราะว่าผู้บริหารเขา ไม่ทำต่อ ตอนนั้นเราก็งงอยู่เหมือนกัน ว่าอะไรยังไงต่อดี เพราะเพิ่งทำเพลงไปได้แค่ 3-4 เดือนเอง
แยกย้ายไปทำอะไร
แม็ค : ก็ต่างคนก็ยังทำงานเพลงทำอะไรนิดๆหน่อยๆ ร้องเพลงตามที่เขามีงานจ้างหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปบางคนก็ไปทำงานในส่วนของตัวเอง
ณ ตอนนี้ทำอะไรบ้าง
แม็ค : ผมตอนนี้อยู่ต่างประทศครับ เป็นเชฟอยู่ที่ออสเตรเลีย เป็นคนที่ชอบทำอาหารอยู่แล้วแต่ไม่ชอบทาน ชอบทำให้คนอื่นเขาทานไปอยู่นู่น เออ เชฟมันก็น่าสนใจ ก็เลยลองเรียนแล้วผันตัวเองมาทำเป็นเชฟนเป็นเชฟ ทำอาหารอยู่ที่นู่น เปิดร้านอาหาร เป็นร้านอาหารฝรั่งธรรมดา ชื่อว่า วีเมลซี (Wimuls sea food) อยู่ที่เมือง โกลด์โคสต์ ถ้าใครมีโอกาสได้ไปลองแวะไปได้ครับ
อ๊อฟ : ผมก็เปิดร้านอาหารชื่อร้านกึงกะมู มี 3 สาขา ทำจนร้านมันอิ่มตัวแล้วก็หยุดไปเอง ก็มาเรียนต่อ มาเรียนกฎหมาย เพราะว่าที่บ้านเป็นนักกฏหมาย ก็เลยเข้าที่นิติศาสตร์จุฬา เลยได้ปริญญาตรีมาอีก 1 ใบ ตอนนี้สอบใบอนุญาตเป็นทนายความอยู่ ตอนนี้ก็กำลัวสอบเนติบัณฑิตอยู่
ต๊อก : ผมเปิดช็อปซ่อมรองเท้า ทำกุญแจ มีหลายสาขาครับที่ เซ็นทรัล โลตัส แม็คแวลูร์ ชื่อ โปร. เอ็กซ์เพลส คือว่าที่บ้านทำธุรกิจนี้มานานแล้ว เรามทองว่าอาชีพนี้ใกล้ตัวที่สุด เราคุ้นเคยคลุกคลีมาเลยตัดสินใจมาทำ
ส่วนตาร์เขาอยู่ในวงการเพลง อยู่เบื้องหลังให้กับหลายบริษัทเลยเป็นฟรีแลนซ์ ไปทำเพลงให้คนนั้น แต่งเพลงให้คนนี้ ร้องไกด์ให้คนนั้นคนนี้ ก็ยังอยู่ในวงการเพลงซึ่งผมทั้ง 3 คนก็ง่วนอยู่กับงานก็เลยไม่ได้คุยกันไม่ได้ติดต่อกับ เพราะว่าพอแยกกันต่างคนต่างไปทำอะไรอย่างนี้จนได้รับข่าวร้าย
ความสูญเสีย
อ๊อฟ : ผมไม่เชื่อเพราะว่าจอย ทีสเกิร์ส โทรมาหาผม ผมไม่เชื่อ ผมบอกไม่จริง เขาก็บอกจริงๆ จนผมช็อคไปพักหนึ่งผมก็เสียใจพูดอะไรไม่ออกคิดว่าทำไมเขาตัดสินใจอย่างนั้น พอมารู้ว่ามันมีปัญหาหลายๆอย่างมารุมเร้าเขาก็โอเค ได้แต่เสียใจที่ตอนแยกกันไม่ได้ดูแลเพื่อนไม่ได้ติดต่อ นึกว่าเขาไปได้ดีกับงานของเขาอะไรอย่างนี้ ต้าร์เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงไม่ได้โทรคุยมาก ไม่ได้เฮฮา ก็เลยหายไปช่วงหนึ่งที่ไม่ได้อยู่กับเขา
อยากบอกต้าร์
อ๊อฟ : ผมอยากร่วมงานกับเขานะทุกวันนี้ ผมอยากร้องเพลงกับเขาอีกผมยอมรับว่า ตอนนที่ออกอัลบั้มตอนนั้น ผมร้องเพลงไม่เป็นผม เต้นเป็นอย่างเดียว ตอนนี้ผมได้ฝึกร้องเพลงอะไรอย่างนี้รู้สึกว่าผมอยากได้ร้องกับเขาอีกนะครับ ตอนนั้นเขาร้องอย่างเดียว เพื่อน ๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไร เขาเป็นนักร้องนำ เพราะเขาเสียงดีที่สุด เราก็เสียได้ที่ไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกในอัลบั้มนี้ครับ
แม็ค : ก็ถ้าย้อนไปได้เขายังอยู่ จะเป็นอะไรที่ดีมาก พวกเราก็คงจะยังอยู่ยังเป็นนักร้อง คิดถึงเหมือนเดิมเต็มที่ ทุกวันนี้เราเป็นดร.คิดส์ที่ไม่เต็มที่ เหมือนขาดส่วนหนึ่งไป มันเหมือนกับเวลาเราจะปรึกษาเรื่องเพลงเวลาเราจะทำอะไร ปกติเราจะมี 4 คนเราจะคอยช่วยเหลือกันแต่ตอนนี้เราเหลือกัน 3 คน คุยกันตอนนี้ก็นึกถึง อะไรอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่ขาดหายจะเอาใครมาแทนมันก็ไม่ได้ ก็ต้องยอมรับสภาพไป
ต๊อก : ก็อยากให้เขากลับมาเพราะว่าทุกวันนี้ก็ยังคิดว่าเขายังอยู่ บางครั้งก็รู้สึกว่าเขายังอยู่ อย่างตอนนี้เพราะว่าเราคลุกคลีกันมาตั้งแต่เด็กครับ รู้จักกันมาตั้งแต่ยังไม่ออกเทป คิดถึงเขาเวลาจะนอน เราก็นึกถึง อยากให้เขาอยู่ไม่อยากเสียเขาไป อยากให้เขาอยู่ตลอด
สิ่งที่ได้ในวงการบันเทิงคืออะไร
อ๊อฟ : สิ่งที่ได้ก็คือ ได้รู้จักชีวิตอีกมุมหนึ่งที่มีประสบการณ์ดีๆ เยอะแล้วก็ทำให้เราได้รู้จักทำงาน เพราะว่า ดร.คิดส์ทำงานตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่อายุ 13 ทำให้มีมิตรภาพทั่วประเทศทำให้คนรู้จักเรา ได้ไปที่นู่นนี่ การออกอัลบั้ม มันเป็นงานที่สนุกนะครับ เหมือนไม่ได้ทำงาน เราได้ทำในสิ่งที่เรารักนะครับ แต่ที่สำคัญที่สุดที่เราได้กลับมาเรารู้สึกว่าคุณค่าในตัวเรา มีคนเห็นอยู่นะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว เรารู้สึกว่าโลกมันสวยงามมันมีมิตรภาพ เป็นสิ่งที่ผมมองว่ามันหาซื้อด้วยเงินเท่าไรก็ไมได้ เอาเงินไปซื้อมิตรภาพมันไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดตั้งแต่ออกอัลบั้มมา
ต๊อก : เยอะได้ความรู้ได้ประสบการณ์ได้สัจจะธรรมของชีวิต ทุกอย่างมันมีขึ้นมีลง มีดังมีดับประมาณนี้
แม็ค : ก็ประสบการณืเยอะครับเพราะเหมือนกับว่าอะไรที่มันได้มาง่ายมันก็ไปง่าย เหมือนกับคนที่กำลังเข้าวงการสมัยนี้ถ้าเกิดว่ามาแล้วไม่รู้จักทำตัวให้ดี ไม่รู้จักดูแลตัวเอง ไม่รับผิดชอบหน้าของตัวเองก็จะไปได้ง่ายๆ แต่ถ้าใครรู้จักรับผิดชอบดูแลตัวเองให้ดีๆ มันก็จะไปได้เรื่อยๆ ของที่มันได้มาง่าย อย่างเงินได้มาง่าย บางคนทำงานเดือนหนึ่งได้มาหมื่นกว่าบาท เราทำงานเดือนได้เป็นแสน
อ๊อฟ : ตอนนั้นเรายังเด็กยังไม่รู้วิธีจัดกรหลายอย่างมันเข้ามาเร็ว พอเข้ามาเร็วก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดในตอนเด็ก ๆ ตอนนั้น ก็สอนเราพอเรามานั่งถึงจุดนี้แล้วรู้สึกว่าถ้าเราไม่ผิดพลาดวันนั้นวันนี้เราก็ยังคิดไม่ได้ เพราะเราเจอกันจริงๆ เราล้มจริงๆ วันนี้เราลุกขึ้นมา มันสอนให้เรารู้ว่าชีวิตเราต้องใช้สติให้มากกว่านี้
แม็ค : วันนั้นเราทำเพราะเรามีของ เราใช้อารมณ์ในการตัดสิน แต่ทุกวันนี้เรามองว่าอะไรที่เรามีความสุขแล้วเราทำ อันนี้เป็นเรื่องที่บอกไปก็ต้องลองด้วยตัวเองด้วยหลายคนอาจจะไม่เชื่อ
อยากฝากอะไรถึงแฟนคลับที่ติดตามผลงาน
อยากฝากว่าพวกเราก็กลับมาแล้ว จะมีผลงานรวมกันเร็วๆ นี้อัลบั้มเต็ม เป็นซาวด์ของดร.คิดส์ แต่คงไม่ได้เต้นเพราะว่าแก่แล้ว ยุคนี้ให้สมกับวัยครับ ก็เป็นเพลงแนวเดิมเพราะว่าโปรดิซเซอร์ยังเป็นคุณพ่อแม็คเหมือนเดิม แต่ว่ามีสมาชิกแค่ 3 คนที่เปลี่ยนไป ก็ออกมาเป็นซิงเกิ้ล เราทำกันเล่นๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ทำเพื่อแฟนคลับเรา รอติดตามกันนะครับ หรือติดตามความเคลื่อนไหวของเราได้ที่ แฟนเพจ “ดร.คิดส์ dr.kids”
พินิตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี