จากครูสอนได้แค่เทอมเดียว กระโดดมาสู่สายบันเทิงสำหรับหนุ่ม “คิมม่อน-วโรดม เข็มมณฑา” ที่เพิ่งฝากผลงานไว้ล่าสุดซีรี่ส์วายฟอร์มยักษ์ “Gen Y The Series วัยรุ่นวุ่นYรัก”โดย “โอ๋-ยชญ กรณ์หิรัญ” ค่าย Star Hunter Entertainment ซึ่ง “หนุ่มคิมม่อน” พิสูจน์ฝีมือและโอกาสที่ไม่เคยปล่อยทิ้งจนมีวันนี้หนทางสู่สำเร็จ แถมเจ้าตัวยังมีแฟนคลับทั่วทั้งเอเชียคอยติดตามงานนี้ “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงไม่รอช้าชวน “หนุ่มคิมม่อน” มาพูดคุยถึงเรื่องราวในชีวิตให้แฟนคลับได้ฟินกัน

ตอนนี้เป็นพี่ใหญ่มีสอนและดูแลน้องๆอย่างไรบ้าง?

“ผมไม่ใช้คำว่าสอนดีกว่า ใช้คำว่าแนะนำ เพราะก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ถ่ายทอดให้น้องๆ ได้คือประสบการณ์ บางคนยังไม่เคยเล่นอะไรมาเลยก็จะแนะนำกัน ไม่รู้จักมุมกล้องก็มี บางคนไม่เข้าใจคำว่าวายก็มี บางคนเข้าใจว่าวายต้องเล่นเป็นสาวจ๋าเลย มันไม่ใช่อย่างนั้น ตีความคำว่าวายผิดมาก ก็สอนกันใหม่”

เล่นซีรี่ส์มาสักพักสนใจบทแบบไหนอีกบ้าง?

“อยากเล่นบทที่โตขึ้น ประมาณวัยทำงาน อันนี้คือในอนาคตนะครับ แต่ผมก็ยังสนุกกับการเล่นเป็นวัยมหา’ลัยอยู่ แต่ในอนาคตก็ต้องพัฒนาต่อไป ถ้าแก่ขึ้นกว่านี้จะมาเล่นเป็นเด็กมัธยมก็ไม่ได้ อย่างที่ผ่านมาถ่ายละครโซ่เวรีต้องเล่นเป็นวัยทำงาน ก็โดนผู้กำกับทักว่าแอ๊กติ้งดูเป็นเด็กนะ ก็ต้องแก้ อันนี้ผมติดกับตัวเองที่ว่าเล่นแล้วบางทีไหล่หรือการเดินมันบอกได้ว่าอยู่วัยไหน ต้องปรับตรงนี้ พอเสร็จก็คงต้องฝึกแอ๊กติ้งใหม่ให้มีความหลากหลายมากขึ้นให้ดูเป็นผู้ใหญ่ได้ เป็นเด็กได้ จะได้ทำงานได้หลากหลาย”

เพราะซีรี่ส์กับละครมันคนละแบบหรือเปล่า?

“ผมเป็นคนโชคดีครับ เป็นคนที่มีได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ในหลายๆ วงการไปแสดงก็เลยได้ฝึกซ้อมในหลายๆ รูปแบบ ตลกสุด ดราม่าสุดก็ผ่านมาแล้ว ละครวัยรุ่นก็เล่นมาแล้ว หนังของพี่พจน์เล่นแนวตลก ผมก็เล่นมาแล้ว ผมว่าก็คุ้มนะ แต่ผมอยากคุ้มมากกว่านี้ อยากแสดงมากกว่านี้ครับ”

เส้นทางในวงการคิดว่า เดินทางมาประมาณไหนแล้ว?

“ตอนเล่นฮอร์โมน เดอะซีรีย์ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักแสดง ผมมองว่าการเล่นละครเรื่องเดียวแล้วประสบความสำเร็จเลย ผมว่ายังเล่นเป็นตัวเอง ยังไม่ได้เป็นนักแสดงจริงๆแค่ใช้ความเป็นตัวเองขายให้เข้าไป แต่วันนี้ผมว่าเป็นนักแสดงแล้ว เพราะว่าผมนำตัวเองไปเป็นตัวละคร ส่วนเรื่องความสำเร็จยังไงผมว่าก็ยังไม่พอ ยังต้องการพัฒนาไปอีก ยังไม่สุดต้องมีเป้าหมาย คือมาสายนี้แล้ว ไปไหนไม่ได้แล้ว ก็ต้องไปให้ถึงเส้นชัย อย่างเจนวาย เดอะซีรี่ส์ที่เล่นไว้ ก็เป็นอีกหนึ่ง ของเส้นชัยของผมที่กล้าเรียกตัวเองว่าพระเอกได้แล้ว (ยิ้ม) ก็อยากจะไปต่ออีกครับ อนาคตก็อาจจะไปดราม่า พีเรียดก็ไปให้หมด ไปให้สุดให้เต็มที่”

ก่อนหน้านี้คิดมั้ยว่าจะมาทำงานในวงการ?

“ไม่เลยครับ ผมจบครุศาสตรบัณฑิตตั้งใจเป็นครูเต็มที่ ช่วงนั้นเร็วมาก และอายุที่เข้าวงการก็โตแล้ว ก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าให้มาเล่นนะ ถือว่าเป็นโชคดีนะครับ คิดว่าเพราะผมกตัญญูจนมาถึงทุกวันนี้ ผมทำงาน จัดรายการออนไลน์ ทำบ้าๆ บอๆ พ่อแม่ไม่เคยเชื่อเลยว่าจะสร้างรายได้ได้ แต่กลายเป็นว่าทำรายได้ได้ ผมก็นำเงินให้พ่อแม่มีความสุข พัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัว ไม่รู้สิ พอยิ่งให้เขาเราก็ยิ่งได้งานยิ่งได้เงิน มีผู้ใหญ่เอ็นดู ผู้ใหญ่รัก ชีวิตก็มีความสุขมีเงินมีทองมากขึ้น”

ตอนที่เรียนครุศาสตร์ อยากจะสอนอะไร?

“ตระกูลบ้านผมเขาเป็นข้าราชการมาหมดเลย 3-4 รุ่น เป็นตำรวจ ทหาร คุณครู แต่ผมเรียนไม่เก่งก็เลยสอบทหารไม่ได้ เลยไม่รู้จะตอบแทนพ่อแม่ยังไง ผมก็เลยไปเรียนเป็นครู แต่ใจก็ไม่ได้รักขนาดนั้นหรอก ก็ทำเพื่อที่บ้าน แต่ไปสอนอยู่เทอมเดียวก็ได้เข้าวงการเลย”

ช่วงเปลี่ยนหักเหชีวิตเป็นยังไง?

“ใจผมชอบวงการอยู่แล้ว แต่ผมเป็นเด็กดี รักพ่อแม่ ก็ไปสวมบทอาชีพตามที่บ้านต้องการก่อน เป็นครูให้เขาก็ได้ แต่ใจไม่ได้รักหรอก ไม่งั้นคงไม่ไปจัดรายการออนไลน์ พอเลิกสอนก็มาจัดออนไลน์ เป็นดีเจเปิดเพลง เพราะรักทางนี้ เลยไขว่คว้า บางวันมีโอกาสก็ไปเป็นเอ็กซ์ตร้า เดินเข้าฉากได้ 500 บาท คืออยากเป็นตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มาถึงวันนี้คนเรียกผมว่าเป็นพระเอก ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตื่นเต้นใจจะขาดนะเพราะค่อยๆ ขึ้นมา คือบางคนมาแล้วปัง แต่ผมมาแบบขั้นบันได ก็ดีใจมาเรื่อยๆ แต่วันที่ตกใจไม่ใช่วันที่ชีวิตขึ้น ผมว่าน่าจะเป็นวันที่ลงมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าจะกลับไปทำอะไรได้แล้วตอนนั้น”

ทุกวันนี้พ่อแม่ภูมิใจมั้ย?

“เขาภูมิใจอยู่แล้วครับ แต่ไม่พูด เวลาพ่อเขาไปเจอเพื่อนเก่าก็พูดถึงผมตลอดวีดีโอคอลอวดลูกตลอด แม่ก็มีความสุข ยิ้มตลอด พ่อแม่ก็จะบอกกับคนอื่นว่าลูกเป็นดารา ผมก็อยากเป็นดาราให้เขานะ ถ้าวันหนึ่งเป็นได้อย่างพี่ณเดชน์ก็คงดี แต่ต้องพัฒนาตัวเองอีกเยอะครับ ต้องหุ่นดีกว่านี้ หน้าดีกว่านี้อีกเยอะ” (หัวเราะ)”

ถ้าวัยรุ่นมองบทเรียนเป็นเยี่ยงอย่างได้มั้ย?

“ผมว่าได้นะ สิ่งหนึ่งที่แข็งแรงและกล้าพูดเลย คือผมใช้ชีวิตด้วยความกตัญญูสำคัญ ทุกศาสนามีพ่อแม่ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด พระในบ้านทำให้ผมกล้าทำอะไรตามใจ ทำให้ท่านมีความสุขแบ่งเบาภาระได้ ไม่รู้สิ ยิ่งให้เท่าไหร่ ยิ่งได้กลับมา10-20 เท่าตลอด บางทีช่วยเขาผ่อนบ้าน ผ่อนรถนั่นนี่แป๊บเดียวมีงานเข้ามาแล้ว ผมยิ่งศรัทธาเรื่องแบบนี้ก็จะมีอะไรกลับมาดีๆ ตลอด เป็นความเชื่อแหละ แต่สุดท้ายในการทำให้พ่อแม่มีความสุขก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ผลพลอยได้ยังไง ไม่ต้องไปหวัง ขอให้เราทำดีที่สุด”